ช่วงนี้จะสังเกตว่าทางเพจจะไม่ค่อยได้อัพบทความอะไรเลย อันเนื่องมาจากแอดมินกำลังอยู่ในช่วงมรสุมนั่งตรวจสอบงบการเงินให้กับบริษัทลูกค้า แต่ก็ถือว่าปีนี้เบากว่าทุกปีเพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะปิดงบการเงินล่าช้ากันเนื่องจากสถานะการณ์ COVID

โพสนี้ทำขึ้นมาพิเศษเพราะมีคนส่งรูปมาสอบถามกัน เกี่ยวกับช่องทางใหม่ในการช่วยทำให้ไม่ถูกส่งข้อมูลธุรกรรมลักษณะเฉพาะ เป็นลักษณะให้พ่อค้า แม่ค้าที่ขายของออนไลน์เปลี่ยนจากวิธีการรับโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารโดยตรง มาใช้ระบบการรับเงินออนไลน์แทน

พูดถึงตัวระบบรับชำระเงินออนไลน์ก่อน (ตัดในประเด็นเรื่องการช่วยส่งข้อมูลทิ้งไป) ผมว่าเป็นระบบที่ดีและสะดวกมาก โดยเฉพาะใครก็ตามที่ขายผ่าน Facebook ระบบนี้จะช่วยทำให้ลูกค้าสามารถเลือกจ่ายได้หลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต, บัตรเดบิต, จ่ายผ่านแอพธนาคาร ตอนที่ผมขายคอร์สอบรมจะมีลูกค้าบางคนถามว่าจ่ายชำระผ่านบัตรเครดิตได้มั้ย ซึ่งผมไม่มีระบบรับชำระผ่านบัตรเครดิตทำให้เสียโอกาสขายลูกค้ารายนั้นไป

ถ้ามีเวลาว่างผมคงต้องลองเข้าไปใช้บริการดูซักหน่อยแล้ว เผื่อยอดขายคอร์สจะดีขึ้น 😄😄😄

กลับมาประเด็นในเรื่องของการช่วยทำให้ไม่โดนส่งข้อมูลไปให้กรมสรรพากรจริงหรือไม่

ข้อความที่แชร์มาจะพูดถึงเรื่อง “ร้านค้าผู้ใช้บริการ จะมีจำนวนรายการเงินเข้าบัญชีเพียงวันละ 1 รายการ เพราะระบบรับชำระเงินออนไลน์จะรวมเงินทั้งหมดที่ได้รับจากลูกค้าในวันนั้นโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ วันละ 1 ครั้ง”

1 ปีมี 365 วัน ดังนั้นถ้าใช้ระบบนี้จำนวนรายการจะไม่ถึง 400 ครั้ง ยอดเงินเข้าบัญชีกี่บาทก็รอด เพราะการพิจารณาจะแยกพิจารณาแยกแต่ละธนาคาร

ผมลองวิเคราะห์ดูแล้วกฏหมายไม่ได้พูดถึงแค่ให้สถาบันการเงินมีหน้าที่รายงานข้อมูลเท่านั้น ผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ก็มีหน้าที่ต้องรายงานเหมือนกัน

ผมจึงลองเข้าไปเปิด website ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อดูรายชื่อผู้ให้บริการ จะพบกว่าระบบรับชำระเงินออนไลน์ที่มีคนส่งข้อมูลมาให้ ได้จดทะเบียนเป็นผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์กับธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้นเค้าก็มีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลเหมือนกัน ถ้าผู้ใช้บริการเข้าเงื่อนไขธุรกรรมลักษณะเฉพาะ
(รายชื่อผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ : https://bit.ly/2YQMy7T)

สรุป: เปลี่ยนมาใช้ระบบรับชำระเงินออนไลน์ ผมก็คิดว่าไม่น่าจะรอดเหมือนเดิมนะครับ ทางรอดเดี๋ยวตอนนี้คือเริ่มเข้าระบบให้เร็วที่สุดครับ