กค 0706/2962
10 เมษายน 2549
มาตรา 65 และมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร
69/34070
กรณีที่กรมสรรพากรได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการให้เช่าซื้อรถยนต์สรุปความว่า เงินค่าจดทะเบียน
รถยนต์ ค่าต่อทะเบียนรถยนต์ และค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตาม
มาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องนำรายได้
จากการให้เช่าซื้อดังกล่าวไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่ง
ประมวลรัษฎากร และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 และมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร แต่
สมาคมฯ เห็นว่า การจดทะเบียนรถยนต์ การต่อทะเบียนรถยนต์ และการประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อ
เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ เนื่องจากประมวลรัษฎากรกำหนดให้การ
บันทึกบัญชีของผู้เช่าซื้อบันทึกบัญชีเพื่อหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาประเภททรัพย์สิน ซึ่ง
สอดคล้องกับมาตรา 4 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 กำหนดให้ผู้เช่าซื้อใน
ฐานะผู้ครอบครองรถยนต์มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมาย รวมทั้งให้ผู้เช่าซื้อเป็นผู้เอาประกันภัยและ
ชำระค่าเบี้ยประกันภัย โดยใบเสร็จรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยจะออกในนามของผู้เช่าซื้อ สมาคมฯ
จึงขอให้กรมสรรพากรทบทวนคำวินิจฉัยดังกล่าวอีกครั้ง
เนื่องจากผู้เช่าซื้อเป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีประจำปีตามมาตรา 4 และมาตรา 32
แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 อีกทั้งประมวลรัษฎากรกำหนดให้ผู้เช่าซื้อนำทรัพย์สินที่
เช่าชื้อบันทึกบัญชีเป็นประเภททรัพย์สินของบริษัทโดยให้หักค่าใช้จ่ายจากการเช่าชื้อในลักษณะ
เป็นการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามมาตรา 65 ทวิ (2) ประกอบกับตามมาตรา 7 แห่ง
พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา
ของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ดังนั้น สัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์ที่มีข้อกำหนดให้ผู้เช่าซื้อ
รับผิดชอบค่าจดทะเบียนรถยนต์ ค่าต่อทะเบียนรถยนต์ และค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ จึงเป็นการ
กำหนดเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อที่เป็นเจ้าของรถยนต์ ผู้ให้เช่าซื้อที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
นิติบุคคลไม่ต้องนำรายได้จากการให้เช่าซื้อ ได้แก่ ค่าจดทะเบียนรถยนต์ ค่าต่อทะเบียนรถยนต์
และค่าประกันภัยที่ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปรวมคำนวณกำไรสุทธิ
เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ตลอดจนไม่ต้องนำรายรับในกรณี
นี้ไปรวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร