กค 0706/4972
21 พฤษภาคม 2547
มาตรา 83/6, มาตรา 77/2
67/32962
บริษัทฯ ประกอบกิจการรับประกันวินาศภัย บริษัทฯ ได้นำเบี้ยประกันภัยส่วนเกินกว่าวงเงินที่
สามารถรับได้ไปทำสัญญาประกันภัยต่อกับบริษัทรับประกันวินาศภัยในต่างประเทศทั้งนี้ เพื่อกระจายความ
เสี่ยงภัย ในการดำเนินการดังกล่าวบริษัทฯ จะได้รับเงินดังนี้
1. เงินค่านายหน้า (Reinsurance Commissions) จำนวนร้อยละ 40 ของวงเงิน
ประกันภัยต่อ บริษัทฯ ได้ลงบัญชีค่านายหน้ารับเป็นส่วนลดรับจากการประกันภัยต่อและคำนวณ
ภาษีมูลค่าเพิ่มนำส่งด้วยแบบ ภ.พ.36 โดยนำมูลค่าฐานภาษีจากเบี้ยประกันภัยหักด้วยค่านายหน้า
2. เงินค่าคอมมิชชั่นส่วนเพิ่ม (Profit Commission) จะได้รับต่อเมื่อสัญญาประกันภัยต่อ
รายใดทำกำไรให้บริษัทรับประกันวินาศภัยในต่างประเทศได้ บริษัทฯ ได้ลงบัญชีค่าเบี้ยประกันภัยส่วนเพิ่ม
เป็นรายได้คำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประเภทส่วนแบ่งกำไรจากการประกันภัยต่อ
3. บริษัทฯ จะกันเงินค่าเบี้ยประกันภัยต่อไว้จำนวนร้อยละ 45 ของจำนวนเงินประกันภัยต่อ
บริษัทฯ ได้ลงบัญชีเงินที่กันไว้เป็นประเภทหนี้สิ้นและจะให้ค่าตอบแทนบริษัทรับประกันวินาศภัยใน
ต่างประเทศเป็นดอกเบี้ยร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่กันไว้
1. การให้บริการรับประกันวินาศภัยของผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและได้มีการใช้
บริการนั้นในราชอาณาจักร เมื่อมีการชำระค่าเบี้ยประกันภัยให้กับบริษัทรับประกันวินาศภัยในต่างประเทศ
บริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยดังกล่าวมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่ง
ประมวลรัษฎากร โดยการนำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร ฐานภาษีจาก
การให้บริการดังกล่าวจะต้องรวมส่วนลดหรือค่าลดหย่อนที่ผู้รับประกันวินาศภัยในต่างประเทศได้หักส่วนลด
หรือค่าลดหย่อนออกจากค่าเบี้ยประกัน ทั้งนี้ มาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร
2. ค่า Profit Commission บริษัทฯ จะได้รับเงินต่อเมื่อสัญญาประกันวินาศภัยรายใดทำ
กำไรให้บริษัทรับประกันวินาศภัยในต่างประเทศได้ หากการรับประกันวินาศภัยต่อดังกล่าวไม่สามารถทำ
กำไรได้ บริษัทฯ จะไม่ได้รับเงินส่วนนี้ รายได้ที่บริษัทฯ ได้รับดังกล่าวไม่ใช่รายได้จากการขายสินค้า
หรือการให้บริการ จึงไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร แต่
บริษัทฯ ต้องนำรายได้ที่ได้รับมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่ง
ประมวลรัษฎากร
3. ดอกเบี้ยจากเงินสำรองที่บริษัทฯ ถือไว้ตามสัญญาประกันวินาศภัยต่อเป็นเงินที่บริษัท
รับประกันวินาศภัยในต่างประเทศได้รับเพื่อชดเชยความเสียหายจากการส่งเงินเบี้ยประกันภัยล่าช้า
เงินได้ดังกล่าวมิได้เกิดจากการขายสินค้าหรือการให้บริการตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร จึง
ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ประการใด และไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตาม
มาตรา 91/2 (5) แห่งประมวลรัษฎากร และเนื่องจากเงินได้ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็น
เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อบริษัทฯ ส่งเงินชดเชยความเสียหาย
ดังกล่าวไปให้บริษัทรับประกันวินาศภัยในต่างประเทศ จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมิน
ที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร