กค 0706/4002
10 พฤษภาคม 2549
มาตรา 69 ทวิ (9) และมาตรา 65 ตรี (1)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร
69/34179
บริษัท ง. (ประเทศไทย) จำกัด อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย
ต่อมาในปี 2547 ธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายให้สถาบันการเงินแข็งแกร่ง โดยให้บริษัท
เงินทุนขนาดเล็กควบรวมกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ หรือปิดกิจการไปภายใต้นโยบาย
สถาบันการเงิน 1 รูปแบบ (One Presence) บริษัทฯ ได้คืนใบอนุญาตประกอบกิจการ
(License) บริษัท เงินทุน ให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อปิดสภาพเป็นบริษัทเงินทุนแต่ยัง
คงดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัด เนื่องจากทรัพย์สินของบริษัทฯ ส่วนใหญ่ประกอบด้วย
ลูกหนี้สินเชื่อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ด้อยคุณภาพ ซึ่งบริษัทฯ ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจเงินทุน
ได้หยุดรับรู้รายได้ดอกเบี้ยหลังจากรับรู้รายได้ดอกเบี้ยครบกำหนดเวลา 3 เดือน ตามคำสั่ง
กรมสรรพากรที่ ท.ป.1/2528 เรื่อง การใช้เกณฑ์สิทธิ์ในการคำนวณรายได้และรายจ่ายของ
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2528 โดยลูกหนี้ทั้งหมดมีทั้งกรณี
ที่มีคำพิพากษาจากศาลเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ระหว่างการบังคับคดี และกรณีที่มีการบังคับคดี
และยึดทรัพย์เรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ระหว่างดำเนินการในส่วนต่างของมูลค่าทรัพย์สินและมูลหนี้
ตามคำพิพากษา
บริษัทฯ ขอหารือเกี่ยวกับลูกหนี้ดังกล่าวภายหลังที่เปลี่ยนสภาพจากบริษัทเงินทุนมา
เป็นบริษัทจำกัด ดังต่อไปนี้
1.บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ดอกเบี้ยสำหรับลูกหนี้ดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชี
ที่ได้รับชำระเงิน โดยไม่ต้องรับรู้รายได้ดอกเบี้ยตามเกณฑ์สิทธิที่หยุดการรับรู้ไปแล้ว ใช่หรือไม่
2.กรณีการประนอมหนี้ บริษัทฯ ได้ตกลงยกหนี้บางส่วนให้แก่ลูกหนี้ ถ้าลูกหนี้ปฏิบัติ
ตามเงื่อนไขและข้อตกลงว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุนครบถ้วนถูกต้องแล้ว บริษัทฯ สามารถ
นำผลขาดทุนดังกล่าว มาถือเป็นค่าใช้จ่าย ได้หรือไม่
3.ในการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญสำหรับลูกหนี้บางราย บริษัทฯ ได้ถือเป็นค่าใช้จ่ายตาม
มาตรา 65 ตรี (1)(ค) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ดังนั้น
3.1 บริษัทฯ ไม่ต้องรับรู้การตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญดังกล่าวเป็นรายได้ จนกว่าจะได้มี
การตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญดังกล่าวลดลง โดยนำเงินสำรองร่วมที่ตั้งลดลงที่ถือเป็นรายจ่ายแล้ว
มารวมเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ตั้งเงินสำรองลดลง ใช่หรือไม่
3.2 บริษัทฯ สามารถนำเงินสำรองส่วนที่เพิ่มขึ้นมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไร
สุทธิ ได้หรือไม่
กรณีตามข้อเท็จจริงข้างต้นลูกหนี้ที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นบริษัทเงินทุนฯ ต่อมาเมื่อบริษัท
ได้คืนใบอนุญาตการประกอบกิจการบริษัทเงินทุนฯ ให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผล
ทำให้มีการเปลี่ยนสถานะจากบริษัทเงินทุนฯ เป็นบริษัทจำกัด ดังนั้น สิทธิที่มีอยู่ในขณะเป็น
บริษัทเงินทุนฯ จึงมีอยู่เช่นเดิม กล่าวคือ
1.กรณีตาม 1 บริษัทฯ มีสิทธิรับรู้รายได้ดอกเบี้ยสำหรับลูกหนี้ดังกล่าว ตามข้อ 4.1
แห่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 1/2528 เรื่อง การใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้และ
รายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2528
2.กรณีการประนอมหนี้ตาม 2 หากบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 186
(พ.ศ. 2534) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้
ลงวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2534 บริษัทฯ มีสิทธินำผลขาดทุนดังกล่าว มาถือเป็นรายจ่ายในการ
คำนวณกำไรหรือขาดทุนสิทธิได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ทวิ(9) แห่งประมวลรัษฎากร
3.กรณีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ สำหรับลูกหนี้ดังกล่าว บริษัทฯ มี
สิทธินำเงินสำรองเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรหรือ
ขาดทุนสิทธิได้ และบริษัทฯ ไม่ต้องนำเงินสำรองเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ มาบวกกลับ
เป็นรายได้จนกว่าเงินสำรองดังกล่าวจะลดลงเนื่องจากมีการชำระหนี้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ตรี
(1)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร