กค 0811/9072
24 มิถุนายน 2541
มาตรา 65, มาตรา 77/1, มาตรา 77/2, มาตรา 78/3, มาตรา 80, มาตรา 83, มาตรา 83/5, มาตรา 86, มาตรา 91/8, กฎกระทรวง ฉบับที่ 189 (พ.ศ. 2534), คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.1/2528
61/26825
ปรส. ได้เริ่มดำเนินการขายสินทรัพย์หลักของสถาบันการเงิน 56 แห่ง ที่ถูกระงับการ
ดำเนินการตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเดือนมิถุนายน และเดือนสิงหาคม 2540
และอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 ปรส. ได้รับมอบ
อำนาจจากสถาบันการเงิน ทั้ง 56 แห่ง (ผู้ขาย) ให้เป็นผู้ลงนามในสัญญาและจัดการเกี่ยวกับ
การจำหน่ายหรือโอนขายสิทธิตามสัญญาเงินกู้ของผู้ขาย รวมทั้งการอื่นใดที่เกี่ยวข้องตามสัญญาขาย
มาตรฐานกับผู้ซื้อ โดยได้เริ่มดำเนินการเสนอขายสินเชื่อเช่าซื้อเป็นกลุ่มแรก
เพื่อให้การดำเนินการด้านภาษีอากรของทั้งผู้ขายและผู้ซื้อเป็นไปโดยถูกต้องและสอดคล้อง
กับการดำเนินการดังกล่าว ปรส. จึงขอทราบเกี่ยวกับการเสียภาษี ดังต่อไปนี้
1. กรณีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ขายเมื่อได้รับเงินจากการขายตามสัญญาขายจะมีการ
จ่ายชำระเงินเป็นงวดดังนี้
1.1 การชำระเงินงวดแรก ณ วันทำสัญญา (จำนวนเงินเท่ากับร้อยละ 20 ของราคา
ซื้อ รวมกับเงินประกันตามที่ระบุในสัญญา)
1.2 การชำระเงินงวดสุดท้าย ณ วันปิดการจำหน่าย (ภายใน 120 วันจากวันทำ
สัญญา)
1.3 รายการปรับปรุงจำนวนเงินต้นล่าสุด (ภายใน 60 วัน นับจากวันปิดการจำหน่าย)
1.4 เงินชดเชยตามราคาชำระคืน (ภายใน 90 วัน นับจากวันปิดการจำหน่าย)
เนื่องจากตามสัญญาการขายได้กำหนดให้สิทธิเรียกร้องมีผลเมื่อการชำระเงินงวดสุดท้าย
เสร็จสิ้น ซึ่งหมายถึงการขายได้เกิดขึ้นสมบูรณ์ตามสัญญา ดังนั้น ปรส. จึงขอให้กรมสรรพากรพิจารณา
อนุญาตให้ผู้ขายคำนวณและออกใบกำกับภาษี และยื่นยอดรวมเป็นครั้งเดียว ณ วันที่ได้รับการชำระเงิน
งวดสุดท้ายจาก ปรส. ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงไม่เกิน 3 วันทำการนับจากวันปิดการจำหน่ายตามข้อ 1.2
โดยฐานภาษีมูลค่าเพิ่มจะคิดราคาซื้อตามที่กล่าวถึงในสัญญาขายมาตรฐาน
2. ด้วยเหตุที่สัญญาขายมาตรฐานได้มีข้อกำหนดให้มีกรณีที่ต้องแปลงหนี้ใหม่ โดยการเปลี่ยน
ตัวเจ้าหนี้ (ผู้ให้เช่าซื้อ) ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา
ร้อยละ 7.0 ต่อไป
กรณีผู้เช่าซื้อไม่ยินยอมให้ผู้ซื้อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 โดยอ้างสิทธิ
ตามข้อผูกพันเดิมที่มีต่อผู้ขาย และนิติกรรมที่เปลี่ยนแปลงคู่สัญญาไม่ใช่เจตนาของผู้เช่าซื้อ ผู้ซื้อจะต้องรับ
ภาระส่วนต่างร้อยละ 3 นี้ ซึ่งไม่ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ)
แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ซื้ออาจจะใช้เป็นข้อต่อรองที่จะประมูลราคาต่ำลงได้ ปรส. จึงขอยกเว้นเป็นกรณี
พิเศษ อนุโลมให้ผู้ซื้อได้สิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 สำหรับผู้เช่าซื้อที่ได้รับสิทธิตามสัญญา
เดิม จนกว่าจะครบกำหนดผ่อนผัน
3. การคำนวณรายได้ในกรณีที่ผู้ซื้อชำระราคาด้วยพันธบัตรซึ่งได้มีการตกลงตีราคาพันธบัตร
ให้เท่ากับราคาขาย เช่น ผู้ซื้อจ่ายชำระสัญญาขายมูลค่า 100 บาท ด้วยพันธบัตรมูลค่า 110 บาท ซึ่งถึง
กำหนดไถ่ถอนภายในปี พ.ศ. 2543
ปรส. มีความเห็นว่า รายได้ที่นำมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้ขายควรเป็นการรับรู้
รายได้ตามที่ได้ตกลงกันในเบื้องต้น คือมูลค่า 100 บาท โดยถือว่าเป็นมูลค่าตลาดขณะนั้นและเป็นราคาที่
ตกลงกันเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น และเมื่อพันธบัตรถึงกำหนดไถ่ถอนและได้รับเงิน
ตามพันธบัตรแล้ว จึงถือส่วนต่างนี้เป็นรายได้เพื่อนำไปคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลใน
รอบระยะเวลาบัญชีที่พันธบัตรนั้นถึงกำหนด ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ถูกต้องหรือไม่
4. สัญญาขายมาตรฐานระบุว่า "ปรส. ได้ประกาศการจำหน่ายทอดตลาดเพื่อจำหน่าย
สินทรัพย์ประเภทเงินให้กู้ยืม" ซึ่งอาจเข้าข่ายการขายทอดตลาดตามมาตรา 83/5 แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งทำให้ ปรส. มีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ขายมีหน้าที่ต้องเสียโดยต้องนำส่งและยื่นรายการภายใน
15 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้แก่ผู้ขายแต่ละราย
ปรส. ขอผ่อนผันให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งเป็นผู้ออกใบกำกับภาษี รวมทั้งนำส่งและยื่น
รายการด้วยตนเองภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่ได้รับเงินจาก ปรส. (เป็นการยกเว้น
มาตรา 86/1 (2)) และ ปรส. เป็นผู้ออกใบรับเงินชั่วคราวให้แก่ผู้ซื้อตามมูลค่าซื้อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
5. ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้ซื้อในส่วนที่เกี่ยวกับผลต่างของราคามูลค่าหนี้และราคา
ซื้อสุทธิจากการที่ผู้ซื้อได้ประมูลซื้อลูกหนี้เงินกู้จากผู้ขายมาในราคาที่ต่ำกว่าราคาทางบัญชี (Net Book
Value) ซึ่งวิธีการทางบัญชีนั้น ผู้ซื้อจะตั้งพักส่วนต่างระหว่างราคามูลหนี้กับราคาซื้อหนี้สุทธิ (Deferred
Income) ไว้ในบัญชีก่อนและจะรับรู้เป็นรายได้เพื่อเสียภาษีนิติบุคคลต่อเมื่อผู้ซื้อได้เรียกเก็บหนี้ตามสัญญา
นั้นได้มากกว่าราคาซื้อสุทธิ
ปรส. ขอให้ผู้ซื้อสามารถนำส่วนต่างระหว่างราคามูลหนี้กับราคาซื้อหนี้สุทธินั้นตั้งพักไว้ก่อน
และรับรู้เป็นรายได้เพื่อนำไปคำนวณกำไรสุทธิในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเมื่อเรียกเก็บหนี้ได้เกินกว่า
ราคาซื้อสุทธิ
6. นับจากวันปิดการจำหน่ายไปจนกว่าที่ผู้ซื้อจะครอบครองเอกสารการเช่าซื้อจากผู้ขาย
ผู้ขายจะทำหน้าที่จัดการและเรียกรับชำระหนี้ไปก่อนเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อ และจะส่งมอบเงินต้นและ
ดอกเบี้ยที่ได้รับชำระให้แก่ผู้ซื้อภายใน 60 วัน นับจากวันปิดการจำหน่าย
ปรส. ขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ผู้ขายซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนแต่ละแห่งออกใบรับเงินแทนผู้ซื้อ
และให้ผู้ซื้อออกใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีให้ลูกค้าเมื่อได้รับเงินจากผู้ขายครบถ้วน
7. กรณีภาษีมูลค่าเพิ่มจ่ายล่วงหน้า (Advanced VAT) ที่ผู้ขายจ่ายแทนลูกค้าสำหรับ
ค่างวดที่ค้างชำระและอยู่ในระหว่างการขอคืนจากกรมสรรพากร
ปรส. ขอให้พิจารณากรณีที่ผู้ซื้อเมื่อได้รับโอนลูกหนี้ไปแล้ว จะสวมสิทธิในการเรียกร้องคืน
จากกรมสรรพากรแทนผู้ขายได้หรือไม่ ภาระภาษีมูลค่าเพิ่มค้างจ่ายของลูกหนี้จะสิ้นสุดไปและถือเป็นการ
ซื้อขายขาดหรือไม่ ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องจ่ายชำระภาษีมูลค่าเพิ่มของลูกหนี้ค้างชำระค่างวดทันทีในเดือนที่มีการ
ปิดการจำหน่ายหรือเมื่อได้รับชำระหนี้จากลูกค้าแล้ว ผู้ซื้อมีภาระผูกพันที่จะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วน
ลูกหนี้ค้างชำระนี้อย่างไร หากผู้ขายไม่ได้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนที่ลูกหนี้ค้างชำระไว้ก่อน
8. กรณีการโอนสิทธิตามสัญญาเงินกู้ที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ด้วยเหตุที่
การขายลูกหนี้เงินกู้ยืมได้รวมมูลค่าของดอกเบี้ยค้างรับของลูกหนี้เงินกู้ยืมแต่ละรายไว้ด้วย
กรณีผู้ขายได้ใช้เกณฑ์เงินสดในการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะถือว่าผู้ขายได้รับชำระดอกเบี้ย
ซึ่งต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในวันที่ได้รับชำระราคามูลหนี้ด้วยหรือไม่และผู้ขายจะต้อง
จัดสรรจำนวนเงินต้นหรือดอกเบี้ยที่ถือว่าได้รับชำระแล้วอย่างไรเพื่อการคำนวณมูลค่าของฐานภาษีสำหรับ
การเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
อนึ่ง เนื่องจากการขายสินทรัพย์ของ ปรส. มีลูกหนี้ด้อยคุณภาพรวมอยู่ด้วย หากการขาย
ลูกหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวได้รับมูลค่าไม่ถึงร้อยละ 100 ของมูลหนี้ต้นเงิน ปรส. จะขอยกเว้นจาก
กรมสรรพากรให้ถือเสมือนเป็นการซื้อขายเฉพาะเงินต้นคงค้างหมดทั้งจำนวน เพื่อไม่ให้เกิดภาระแก่
ผู้ขายในการจัดสรรจำนวนดอกเบี้ยค้างรับเพื่อใช้เป็นฐานในการเสียภาษี
1. กรณีตาม 1. การขายหรือโอนขายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อถือเป็นสิทธิในทรัพย์สินที่อยู่ใน
กิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ตามมาตรา 77/1 (8) และ (9) แห่ง
ประมวลรัษฎากรผู้โอนมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยถือว่า
ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น เมื่อผู้โอนได้รับชำระราคาค่าตอบแทนจากการ
โอนสิทธิเรียกร้องในลูกหนี้เช่าซื้อ ตามมาตรา 78/3 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2 แห่ง
กฎกระทรวง ฉบับที่ 189 (พ.ศ. 2534)
ดังนั้น ผู้โอนจึงต้องออกใบกำกับภาษีทุกครั้งที่ได้รับชำระราคาพร้อมทั้งให้ส่งมอบ
ใบกำกับภาษีนั้นแก่ผู้รับโอน ตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร ถึงแม้สัญญาขายได้กำหนดให้
สิทธิเรียกร้องมีผลเมื่อมีการชำระเงินงวดสุดท้ายเสร็จสิ้น ผู้โอนก็ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีจากยอดรวม
เพียงครั้งเดียว ณ วันที่ได้รับเงินงวดสุดท้ายได้แต่อย่างใด และกรมสรรพากรไม่มีอำนาจดำเนินการ
ตามที่ ปรส. ร้องขอได้
2. กรณีตาม 2. การแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ (ผู้ให้เช่าซื้อ) หลังวันที่ 15
สิงหาคม พ.ศ. 2540 ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ต่อไป ตามข้อ 3 (2) (ค) ของหนังสือซ้อมความเข้าใจที่ กค \0811/12053\ ลงวันที่ 5 กันยายน 2540
ดังนั้น ผู้รับโอน (ผู้ซื้อ) จึงต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกหนี้ผู้เช่าซื้อในอัตราร้อยละ 10.0 ไม่
สามารถยกเว้นให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 เป็นพิเศษ เฉพาะกรณีตามที่ ปรส. ร้องขอได้
3. กรณีตาม 3. รายได้ที่ผู้โอนต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ราคาขายหรือโอนขายสิทธิที่ตกลงซื้อขายกันและผู้โอนได้รับชำระจริงตาม
สัญญาเช่าซื้อคือมูลค่า 110 บาท ซึ่งถือเป็นราคาตลาดที่ซื้อขายกันโดยสุจริตและเป็นที่เปิดเผยต่อ
สาธารณชนโดยทั่วไปในขณะนั้น ผู้โอนต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้ โดยเฉลี่ยตามกำหนดเวลาที่เหลือ
ในพันธบัตร เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ตามมาตรา 65 แห่ง
ประมวลรัษฎากร
สำหรับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อผู้โอนได้รับชำระราคา (เมื่อ
พันธบัตรถึงกำหนดไถ่ถอน) ตามมาตรา 78/3 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง
ฉบับที่ 189 (พ.ศ. 2534)
4. กรณีตาม 4. องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เป็นนิติบุคคลตาม
มาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 และมีอำนาจจำหน่าย จ่าย
โอน ทรัพย์สิน ของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ตามมาตรา 7 และมาตรา 8 แห่งพระราชกำหนด
การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2540
ดังนั้น ปรส. จึงไม่ใช่ผู้ขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนตามมาตรา
83/5 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร และไม่ใช่ส่วนราชการผู้ขายทอดตลาดตามมาตรา 83/5
วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ปรส. จึงไม่มีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/5 แห่ง
ประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด แต่ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเจ้าของทรัพย์สินเป็นผู้ยื่นรายการและออก
ใบกำกับภาษี ตามมาตรา 83 และมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร
5. กรณีตาม 5. ส่วนต่างของราคามูลหนี้และราคาซื้อสุทธิที่ผู้ซื้อได้ประมูลซื้อจากผู้ขายใน
ราคาที่ต่ำกว่าราคาทางบัญชีให้ปฏิบัติดังนี้
5.1 กรณีโอนขายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนต่างระหว่างราคาค่าตอบแทนในการ
โอนสิทธิเรียกร้องกับยอดหนี้คงค้างของลูกหนี้เช่าซื้อเข้าลักษณะเป็นเงินได้จากกิจการให้เช่าซื้อ ผู้รับโอน
จะต้องนำไปถือเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่ง
ประมวลรัษฎากร โดยทยอยรับรู้เป็นรายได้ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตามงวดที่ถึงกำหนดชำระของ
ลูกหนี้แต่ละรายก็ได้ตามข้อ 4.3 แห่งคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.1/2528 เรื่อง การใช้เกณฑ์สิทธิ์ใน
การคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2528
5.2 กรณีโอนขายสิทธิตามสัญญาเงินกู้ ผู้รับโอนจะต้องนำส่วนต่างระหว่างราคามูลหนี้
กับราคาซื้อหนี้สุทธิมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่ง
ประมวลรัษฎากร โดยนำมาเฉลี่ยตามสัดส่วนระหว่างราคามูลหนี้กับราคาซื้อหนี้สุทธิของลูกหนี้แต่ละราย
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ ปรส. สามารถดำเนินการเฉพาะการขายสินทรัพย์หลักของสถาบัน
การเงิน ทั้ง 56 แห่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมสรรพากรจึงอนุมัติให้ผู้รับโอนมีสิทธิใช้เกณฑ์เงินสดใน
การคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับส่วนต่างระหว่างราคามูลหนี้กับราคาซื้อหนี้สุทธิ
จากการจำหน่ายหรือโอนขายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเงินกู้ ตาม 5.1 และ 5.2 ข้างต้นได้ตาม
มาตรา 65 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร โดยขอให้ ปรส. แจ้งผลการประมูลให้กรมสรรพากรได้
ทราบถึงรายชื่อผู้ประมูลและราคาที่ประมูลได้ด้วย สำหรับการเปลี่ยนแปลงวิธีการทางบัญชีในการรับรู้
รายรับเพื่อเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากเกณฑ์สิทธิเป็นเกณฑ์เงินสดในส่วนที่เกิดจากการซื้อทรัพย์สินจาก ปรส.
กรมสรรพากรอนุมัติให้ผู้รับโอนดำเนินการได้ตามมาตรา 91/8 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
6. กรณีตาม 6. ตามข้อ 2 ของสัญญาขายมาตรฐาน ผู้ขายแต่ละราย โอนบรรดาสิทธิ
ทั้งหมดที่ตนมีตามสัญญาให้เช่าซื้อแต่ละรายทั้งหมดที่ตนเป็นคู่สัญญาให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อรับเอาสิทธิทั้งหมด
ดังกล่าว โดยมีผลตั้งแต่วันปิดการจำหน่าย
ดังนั้น นับแต่วันปิดการจำหน่ายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้โอน (ผู้ขาย) จึงไม่มีสิทธิออก
ใบเสร็จหรือใบกำกับภาษีให้แก่ลูกค้าผู้เช่าซื้อ แต่ผู้รับโอน (ผู้ซื้อ) จะเป็นผู้ออกใบเสร็จเมื่อรับเงินจาก
ลูกค้าผู้เช่าซื้อและให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น เมื่อถึงกำหนดชำระราคาตามงวดที่ถึง
กำหนดชำระราคาแต่ละงวด เว้นแต่ได้มีการรับชำระราคาหรือได้ออกใบกำกับภาษีก่อนถึงกำหนดชำระ
ราคาแต่ละงวด ก็ให้ถือว่าความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อได้มีการกระทำนั้น ๆ ด้วย ตามมาตรา 78 (2) แห่ง
ประมวลรัษฎากร
7. กรณีตาม 7. ให้ปฏิบัติดังนี้
7.1 กรณีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ขายจ่ายแทนลูกค้าเช่าซื้อ สำหรับค่างวดที่ค้างชำระ
ถือเป็นการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามงวดที่ถึงกำหนดชำระราคาแต่ละงวดตามมาตรา 78 (2) แห่ง
ประมวลรัษฎากร จึงไม่มีกรณีที่ผู้ซื้อจะขอคืนภาษีจากกรมสรรพากรแทนผู้ขาย แต่ถึงแม้ผู้ขายจะมีการขอคืน
เงินภาษีในเรื่องอื่นและอยู่ระหว่างการขอคืนจากกรมสรรพากร ผู้ขายก็ไม่มีสิทธิที่จะโอนสิทธิการขอคืน
เงินภาษีดังกล่าวไปให้ผู้ซื้อได้
7.2 กรณีภาษีมูลค่าเพิ่มค้างชำระของลูกหนี้ เมื่อผู้ซื้อได้รับโอนลูกหนี้เช่าซื้อจากผู้ขาย
แล้ว ถือเป็นการซื้อขายขาด ผู้ซื้อไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มของลูกหนี้ที่ค้างชำระค่างวดในทันที่ที่มี
การปิดการจำหน่ายหรือเมื่อได้รับชำระหนี้จากลูกค้าแต่อย่างใด ไม่ว่าผู้ขายจะนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วน
ที่ลูกหนี้ค้างชำระไว้แล้วหรือไม่ก็ตาม แต่ผู้ซื้อยังคงต้องนำเงินที่ได้รับจากลูกหนี้ในส่วนที่ค้างชำระก่อนปิด
การจำหน่ายมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
8. กรณีตาม 8. การโอนขายสิทธิตามสัญญาเงินกู้เป็นการขายทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในกิจการที่
ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ขายจึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จากการโอนขายสิทธิดังกล่าว แต่ยังคงต้อง
เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เนื่องจากการโอนขายสิทธิตามสัญญาเงินกู้ได้รวมมูลค่าของดอกเบี้ยค้างรับของ
ลูกหนี้แต่ละรายไว้ด้วย
ดังนั้น กรณีผู้ขายใช้เกณฑ์เงินสดในการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ไม่ว่าการขายลูกหนี้เงินกู้
ยืมดังกล่าวจะได้รับมูลค่าถึงร้อยละ 100 ของมูลหนี้เงินต้นหรือไม่ก็ตาม ผู้ขายจะต้องเฉลี่ยตามสัดส่วน
ระหว่างจำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยของลูกหนี้แต่ละรายแล้วนำดอกเบี้ยที่เฉลี่ยได้ดังกล่าวมาเสีย
ภาษีธุรกิจเฉพาะในเดือนภาษีที่ได้รับชำระเงิน