กค 0702/5908
5 กรกฎาคม 2556
มาตรา 40(4)(ก) มาตรา 50(2)(ก)(ข) มาตรา 69 ทวิ มาตรา 5 อัฎฐ (1) วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ(ฉบับที่ 10) มาตรา 52 และมาตรา 54 แห่งประมวลรัษฎากร
76/38686
1. ดอกเบี้ยที่ได้รับจากพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องมีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย อย่างไร ในอัตราใด
2. ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไม่ได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย มีการดำเนินการหรือบทลงโทษ อย่างไร
1. พันธบัตร (Bond) เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยผู้ขอกู้ยืม เช่น รัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยมีสัญญาว่า ผู้ออกพันธบัตร (ผู้กู้ยืม หรือ ลูกหนี้) จะต้องจ่ายผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) ให้กับผู้ถือพันธบัตร (ผู้ให้กู้ หรือ เจ้าหนี้) ตามอัตราและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพันธบัตร ทั้งนี้ การเรียกชื่อพันธบัตรจะเรียกตามหน่วยงานที่ออกพันธบัตร เช่น ออกโดยรัฐบาล เรียกว่า พันธบัตรรัฐบาล ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เรียกว่า พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ออกโดยรัฐวิสาหกิจ เรียกว่า พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
2. กรณีตาม 1. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ผู้กู้ยืม หรือ ลูกหนี้) มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เข้าลักษณะเป็น "องค์การของรัฐบาล" ตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยให้กับผู้ถือพันธบัตร (ผู้ให้กู้ หรือ เจ้าหนี้) เช่น ประชาชน บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ เป็นต้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทยตกลงจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน (ดอกเบี้ย) ให้แก่ผู้ถือพันธบัตร ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือพันธบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
(1) กรณีผู้รับเป็นบุคคลธรรมดาและเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15.0 ตามมาตรา 50(2)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีผู้รับเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1.0 ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
(3) กรณีผู้รับเป็นบุคคลธรรมดาและมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15.0 ตามมาตรา 50(2)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร
(4) กรณีผู้รับเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีฐานะเป็นองค์การของรัฐบาล จ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 5 อัฏฐ (1) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศดังกล่าวได้ถือกรรมสิทธิ์หรือได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรก่อนวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553 และพันธบัตรดังกล่าวได้ออกจำหน่ายก่อนวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ตามมาตรา 5 อัฏฐ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 กรณีดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้จ่ายดอกเบี้ยพันธบัตร จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่อย่างใด
3. กรณีตาม 2. เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 และมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยต้องนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย นั้น ภายใน 7 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายตามาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย การนำส่งภาษีเงินได้ การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม และการยื่นรายการ ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 หากธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด จะต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่ไม่ได้หักและไม่ได้นำส่ง ตามมาตรา 54 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร และต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสีย หรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ ตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
อย่างไรก็ดี หากผู้มีเงินได้นำเงินได้พึงประเมินตามจำนวนที่ไม่ได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีแล้ว ถือว่าผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมของผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ได้ชำระภาษีแล้ว ผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงิน จึงหลุดพ้นจากหนี้ภาษีเฉพาะเงินภาษีที่ต้องชำระต่อกรมสรรพากร ตามมาตรา 54 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร แต่ผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ยังคงต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสีย หรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ ตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งการคำนวณเงินเพิ่มให้เริ่มนับเมื่อพ้นกำหนดเวลาการยื่นรายการหรือนำส่งภาษีจนถึงวันที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีครบจำนวนที่ถูกต้อง แต่เงินเพิ่มที่คำนวณได้ไม่ให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง และต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามมาตรา 17 และมาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากร