กค 0706(กม.04)/883
20 กรกฎาคม 2549
พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442)
69/34381
บริษัทฯ ได้ลงทุนประกอบธุรกิจโดยถือหุ้นสามัญในบริษัทต่างประเทศ จำนวน 3 บริษัท และ
ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. บริษัทฯ ถือหุ้นสามัญในบริษัทซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศสิงคโปร์ จำนวนร้อยละ
49 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 จนถึงปัจจุบัน โดยบริษัท U ประกอบธุรกิจ
ขนส่งสินค้าทางทะเล เงินปันผลที่บริษัท U จ่ายให้บริษัทฯ เป็นการจ่ายจากกำไร 2 ส่วนคือ
(ก) กำไรที่ได้จากเรือที่บริษัท U เป็นเจ้าของและจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งกำไร
ในส่วนนี้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศสิงคโปร์
(ข) กำไรที่ได้จากเรือที่บริษัท U เช่าหรือว่าจ้างมาอีกทอดหนึ่ง ซึ่งกำไรในส่วนนี้เสียภาษี
เงินได้นิติบุคคลในประเทศสิงคโปร์ ในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิบริษัทฯ หารือว่า
1.1 เงินปันผลที่จ่ายจากกำไรตาม (ก) ซึ่งบริษัท U ไม่เคยเสียภาษีเงินได้ในประเทศสิงคโปร์
มาก่อน บริษัทฯ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามข้อ 23 วรรค 2 แห่งอนุสัญญาระหว่างรัฐบาล
แห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกัน
การเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ถูกต้องหรือไม่
1.2 เงินปันผลที่จ่ายจากกำไรตาม (ข) ซึ่งบริษัท U เคยเสียภาษีเงินได้ในประเทศสิงคโปร์ ในอัตรา
ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ บริษัทฯ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนี้
1.2.1 กรณีบริษัทฯ ได้รับเงินปันผลก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวล
รัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 442) พ.ศ.2548 มีผลใช้บังคับบริษัทฯ จะได้รับยกเว้น
ภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามข้อ 23 วรรค 2 แห่งอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ
รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ ฯ ถูกต้องหรือไม่
1.2.2 กรณีบริษัทฯ ได้รับเงินปันผลหลังวันที่พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.2548
มีผลใช้บังคับ บริษัทฯ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว
ถูกต้องหรือไม่
2. บริษัทฯ ถือหุ้นสามัญในบริษัท ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศสิงคโปร์ จำนวนร้อยละ 100
ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 จนถึงปัจจุบัน โดยบริษัท L ประกอบธุรกิจด้าน
การลงทุนในกิจการเหมืองแร่ถ่านหินและสาธารณูปโภคในต่างประเทศ (Holding Company)
บริษัท L ลงทุนถือหุ้นสามัญในบริษัท H ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศอินโดนีเซีย คิดเป็นร้อยละ
55 ของทุนที่ชำระแล้ว โดยบริษัท H ประกอบกิจการเหมืองถ่านหิน และเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลใน
ประเทศอินโดนีเซีย อัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ เมื่อบริษัท H จ่ายเงินปันผลให้บริษัท L จะต้องหัก
ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 10 และบริษัท L ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศสิงคโปร์อีก
เมื่อบริษัท L จ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้แก่บริษัทฯ บริษัท L ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เนื่องจาก
ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายของประเทศสิงคโปร์ บริษัทฯ หารือว่า
2.1 เงินปันผลที่บริษัทฯ ได้รับจากบริษัท L ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.
2548 มีผลใช้บังคับ บริษัทฯ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามข้อ 23 วรรค 2 แห่งอนุสัญญา
ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ ฯถูกต้องหรือไม่
2.2 เงินปันผลที่บริษัทฯ ได้รับจากบริษัท L หลังวันที่พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.
2548 มีผลใช้บังคับ บริษัทฯ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว
ถูกต้องหรือไม่
3. บริษัทฯ ถือหุ้นสามัญในบริษัท M ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศอินโดนีเซีย จำนวน
ร้อยละ 99 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยบริษัท M ประกอบ
ธุรกิจรับจ้างผลิตและจัดจำหน่ายถ่านหิน เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศอินโดนีเซีย อัตราร้อยละ
30 ของกำไรสุทธิ เมื่อบริษัท M จ่ายเงินปันผลให้แก่บริษัทฯ บริษัท M จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ในอัตราร้อยละ 15 ตามข้อ 10 วรรค 2(ก) แห่งความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร ใน
ส่วนที่เกี่ยวกับภาษีจากเงินได้ บริษัทฯ หารือว่า
3.1 บริษัทฯ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.
2548 ถูกต้องหรือไม่
3.2 บริษัทฯ สามารถนำค่าภาษีเงินได้ที่บริษัท M หัก ณ ที่จ่ายไว้ในอัตราร้อยละ 15 มาหัก
เป็นรายจ่าย หรือใช้เป็นเครดิตในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย
ได้หรือไม่อย่างไร
กรณีบริษัทฯ ลงทุนประกอบธุรกิจโดยถือหุ้นในบริษัทต่างประเทศ จำนวน 3 บริษัท เมื่อบริษัทฯ
ได้รับเงินปันผลจากบริษัทต่างประเทศดังกล่าว บริษัทฯ มีภาระภาษีดังนี้
1. กรณีบริษัทฯ ได้รับเงินปันผลจากบริษัท U และบริษัท L ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศสิงคโปร์
แยกพิจารณาได้ดังนี้
1.1 บริษัทฯ ได้รับเงินปันผลก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.2548 มีผลใช้บังคับ
โดยบริษัทฯ ไม่มีภาระภาษีจากเงินปันผลในประเทศสิงคโปร์ บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องนำเงินปันผลดังกล่าว
มาคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย และไม่เข้าลักษณะการยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร
แก่บุคคลตามสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่รัฐบาลไทยได้ทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ ตามมาตรา
3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ.2505 แต่อย่างใด
1.2 บริษัทฯ ได้รับเงินปันผลในหรือหลังวันที่พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.2548 มีผล
ใช้บังคับ
1.2.1 กรณีบริษัทฯ ได้รับเงินปันผลจากบริษัท U ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัท U ผู้จ่ายเงินปันผล
ร้อยละ 49 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นนั้นมาจนถึง
วันที่ได้รับเงินปันผล และเงินปันผลที่บริษัท U จ่ายให้แก่บริษัทฯ มาจากกำไรสุทธิที่มีการเสียภาษีในประเทศ
สิงคโปร์ ในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ไม่ว่าประเทศสิงคโปร์จะมีกฎหมายลดหรือยกเว้นภาษีสำหรับ
กำไรสุทธิให้แก่บริษัท U หรือไม่ก็ตาม บริษัทฯ ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัท U
ตามมาตรา 5 วีสติ แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10)
พ.ศ.2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.2548
1.2.2 กรณีบริษัทฯ ได้รับเงินปันผลจากบริษัท L ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัท L ผู้จ่ายเงินปันผลร้อยละ
100 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นนั้นมาจนถึงวันที่ได้รับ
เงินปันผล โดยเงินปันผลดังกล่าวบริษัท L ได้รับมาจากบริษัท H ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศอินโดนีเซีย
และเนื่องจากประเทศสิงคโปร์มีกฎหมายยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลว่า บริษัท L ไม่ต้องนำเงินปันผลที่ได้
รับจากบริษัท H ไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ของบริษัท L ในประเทศสิงคโปร์ ดังนั้น บริษัทฯ ไม่ได้
รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัท L ตามมาตรา 5 วีสติ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10)
พ.ศ.2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.2548
2. กรณีบริษัทฯ ได้รับเงินปันผลจากบริษัท M ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศอินโดนีเซีย
2.1 บริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัท M ผู้จ่ายเงินปันผลร้อยละ 99 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง เป็นระยะเวลา
ไม่น้อยกว่าหกเดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นนั้นมาจนถึงวันที่ได้รับเงินปันผล และเงินปันผลที่บริษัท M จ่ายให้แก่บริษัทฯ
มาจากกำไรสุทธิที่มีการเสียภาษีในประเทศอินโดนีเซียในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ ตามกฎหมายของประเทศ
อินโดนีเซีย ดังนั้น บริษัทฯ ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัท M ตามมาตรา 5 วีสติ แห่ง
พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.2548
2.2 บริษัทฯ ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ในประเทศอินโดนีเซีย ในอัตราร้อยละ 15 โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
สำหรับเงินปันผลดังกล่าว ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ตามมาตรา 5 วีสติ
แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 442) พ.ศ.2548
บริษัทฯ จึงไม่มีสิทธิเลือกนำภาษีที่เสียไปในประเทศอินโดนีเซียมาขอเครดิตในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยใช้
สิทธิประโยชน์ในฐานะผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ตามข้อ 23 แห่งความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยฯ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ.2505 แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีสิทธิ
นำภาษีที่เสียไปในประเทศอินโดนีเซียมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้าม
ตามมาตรา 65 ตรี (6) แห่งประมวลรัษฎากร