views

ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการนำเข้าและส่งออกสินค้าผ่านประเทศไทยให้แก่ผู้ประกอบ กิจการในประเทศกัมพูชา

วันที่: 4 มกราคม 2550
เลขที่หนังสือ

กค 0706/พ.12

วันที่

4 มกราคม 2550

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 มาตรา 77/1(10) มาตรา 77/1(14) และมาตรา 82/5 แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้

70/34707

ข้อหารือ

          บริษัท ก. ประกอบกิจการโดยเป็นตัวกลางส่งผ่านสินค้าจากท่าเรือในประเทศไทยผ่านชายแดน
ไปยังต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจกับ บริษัท A ซึ่งเป็นนิติบุคคลประกอบกิจการใน
ประเทศกัมพูชา A ได้มอบอำนาจให้บริษัทฯ เป็นตัวกลางนำเข้าและส่งออกสินค้าให้กับ A โดย
สรุปขั้นตอนการดำเนินงานได้ดังนี้

          1. การส่งออกสินค้านั้นจะทำการขนส่งสินค้าจากประเทศกัมพูชาผ่านชายแดนประเทศไทย
ณ ด่านศุลกากรคลองใหญ่ จังหวัดตราด และส่งสินค้าจากท่าเรือแหลมฉบังไปยังบริษัท B ที่ประเทศ
ญี่ปุ่น ส่วนกรณีนำเข้าจะนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น มาทางท่าเรือแหลมฉบัง แล้วนำสินค้าผ่าน
ชายแดนประเทศไทย ณ ด่านศุลกากร คลองใหญ่ จังหวัดตราด เข้าไปยังประเทศกัมพูชา

          2. บริษัทฯ ได้คิดค่าบริการในการจัดการดังกล่าวเป็นเงิน 40,000 บาท ต่อ 1 ตู้ 40 ฟุต คอนเทนเนอร์
ซึ่งรวมค่าใช้จ่าย ค่าขนส่ง ชิปปิ้ง ค่าเอกสารในการดำเนินงานต่าง ๆ แต่ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดจาก
การเช่าตู้คอนเทนเนอร์ ค่าเสียหายที่เกิดจากการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ค่าภาษีอากรขาเข้า แต่หากมี
ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเกิดขึ้น บริษัทผู้ให้เช่าตู้จะเรียกเก็บเงินจากบริษัทฯ และออกใบเสร็จรับเงินในนาม
ของบริษัทฯ และบริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นยอดเงินเดียวกัน โดยออกหลักฐานเป็น
ใบกำกับภาษีให้ A และจะมีตัวแทนชาวกัมพูชาที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นผู้จ่ายเงินให้กับบริษัทฯ

          3. บริษัทฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายและรับจ่ายเงินค่าสินค้าที่นำเข้าและส่งออกดังกล่าว
แต่อย่างใด ทาง A ประเทศกัมพูชา จะเป็นผู้ทำการติดต่อซื้อขาย รับจ่ายเงินค่าสินค้า และจัดทำเอกสาร
ต้นฉบับการซื้อขายส่งให้กับบริษัท B ในประเทศญี่ปุ่นโดยตรง และ A จะจัดส่งสำเนาเอกสารโดยทาง
โทรสารให้กับบริษัทฯ เพื่อดำเนินพิธีการศุลกากรในประเทศไทย

          4. ขั้นตอนการดำเนินงานมีดังนี้

          
          4.1 กรณีส่งออกสินค้า บริษัทฯ ได้รับสำเนาเอกสารทางโทรสารจาก A ให้นำเข้าสินค้า
จากประเทศกัมพูชาผ่านชายแดนประเทศไทยด้านจังหวัดตราด และส่งสินค้าออกจากท่าเรือแหลมฉบัง
ไปยังบริษัท B ในประเทศญี่ปุ่น แต่เนื่องจากด่านศุลกากรคลองใหญ่ไม่มีคลังสินค้าทัณฑ์บน บริษัทฯ
จึงต้องเสียภาษีอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มก่อน และสามารถขอคืนภาษีอากรได้หลังจากส่งสินค้า
ออกไปยังประเทศผู้รับปลายทาง

          
          บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการขนส่งสินค้าออกดังกล่าวเป็นเงิน 40,000 บาท โดยได้รับ
เป็นเงินสดในประเทศไทย และบริษัทฯ ได้ออกหลักฐานใบกำกับภาษี ไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯ
ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ในช่องยอดขายที่เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 เป็นจำนวนเงิน
40,000 บาท และบริษัทฯ มิได้นำยอดเงินในใบขนส่งสินค้าขาออกมาแสดงเป็นรายได้ในการคำนวณ
ภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 เนื่องจากบริษัทฯ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขายและรับจ่ายเงิน
ค่าสินค้าแต่อย่างใด ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียจากการนำเข้าสินค้า บริษัทฯ ได้นำมาลงรายงานภาษีซื้อ
เพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม

          
          4.2 กรณีนำเข้าสินค้า บริษัทฯ ได้รับสำเนาเอกสารทางโทรสารจาก A ให้นำเข้าสินค้าจาก
ประเทศญี่ปุ่น โดยเข้ามาทางท่าเรือแหลมฉบัง และส่งสินค้าออกโดยผ่านแดนประเทศไทยไปยัง
ประเทศกัมพูชา การทำพิธีการศุลกากรที่ท่าเรือแหลมฉบังนี้ ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีอากรขาเข้า
เนื่องจากนำสินค้าเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บน เพื่อเปิดตรวจและปิดซีลโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร ในการเปิด
ตรวจสินค้าฯ นี้ เจ้าหน้าที่ได้ให้ชิปปิ้งของบริษัทฯ แก้ไขราคาใน Invoice ใหม่ โดยให้เพิ่มราคาสินค้า
สูงขึ้น ซึ่งทำให้ราคาสินค้า ไม่ตรงกับ Invoice ที่ได้รับจาก A หลังจากตรวจเรียบร้อยแล้ว บริษัทฯ
ได้นำตู้สินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนในวันเดียวกัน เพื่อขนส่งสินค้าออกโดยผ่านด่านศุลกากร
คลองใหญ่ จังหวัดตราด ผ่านชายแดนประเทศไทย ไปยังโรงงานของ A ประเทศกัมพูชา

          
          จากการนำเข้าสินค้าเศษยางดังกล่าวนั้น บริษัทฯ ได้นำรายได้จากการให้บริการขนส่งสินค้า
ผ่านแดนฯ เป็นเงิน 40,000 บาท ซึ่งออกหลักฐานใบกำกับภาษีมายื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในอัตราร้อยละ 0 แต่ไม่มีภาษีซื้อเนื่องจากนำสินค้าเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บนที่ด่านศุลกากรแหลมฉบัง
จึงขอทราบว่า

          1. รายได้จากการให้บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนทั้งกรณีนำเข้าและส่งออกสินค้าให้กับ A
บริษัทฯ คิดค่าบริการตู้ละ 40,000 บาท โดยบริษัทฯ ได้รับเงินในประเทศไทย ถือว่าบริษัทฯ มีรายได้
ที่ต้องยื่นเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 หรือในอัตราร้อยละ 7.0

          2. กรณีการส่งออกสินค้าตาม 4.1 นั้น บริษัทฯ มิได้มีรายได้จากการซื้อขายสินค้า แต่บริษัทฯ เป็น
ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าเข้าและออกให้กับ A บริษัทฯ จะต้องนำยอดเงินในใบขนสินค้าขาออกมา
แสดงเป็นรายได้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 หรือไม่ และการที่บริษัทฯ ได้เสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าฯ ที่บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการนำเข้าเพื่อส่งออก บริษัทฯ จะนำภาษีมูลค่าเพิ่ม
ที่ชำระมาลงเป็นภาษีซื้อเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้หรือไม่

แนววินิจฉัย

          1. กรณีตาม 1. รายได้จากการให้บริการเป็นตัวกลางขนส่งสินค้าผ่านแดนทั้งนำเข้าและส่งออก
ดำเนินการพิธีการศุลกากรในนามของบริษัทฯ จัดการด้านชิปปิ้ง จัดการด้านเอกสารต่าง ๆ การให้
บริการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการให้บริการในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/1(10) และมาตรา 77/2
แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 80
แห่งประมวลรัษฎากร

          ส่วนการที่บริษัทฯ ออกเงินทดรองจ่ายแทน A ข้างต้น เช่น ค่าเช่าตู้คอนเทนเนอร์ค่าอากรขาเข้า
และจะเรียกเก็บเงินดังกล่าวคืนในภายหลัง บริษัทฯ ไม่มีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษี
ที่เกิดรายจ่ายต่าง ๆ ที่ทดรองจ่ายมาถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่ง
ประมวลรัษฎากร เนื่องจากไม่ใช่ภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการ ต้องห้ามตามมาตรา 82/5(3)
แห่งประมวลรัษฎากร และการที่บริษัทฯ เรียกเงินทดรองจ่ายคืนจาก A มิใช่กรณีการขายสินค้าหรือ
การให้บริการโดยผู้ประกอบการตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น บริษัทฯ จึงไม่มีสิทธิ
ออกใบกำกับภาษีตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร

          2. กรณีตาม 2. บริษัทฯ ประกอบกิจการเป็นตัวกลางในการส่งออกและนำเข้าให้กับ A โดย
กรรมสิทธิ์ของสินค้าดังกล่าวเป็นของ A จะส่งออกสินค้าให้กับลูกค้าของ A โดยยื่นใบขนสินค้า
ออกในนามของบริษัทฯ ซึ่งบริษัทฯ ไม่มีรายได้จากการส่งสินค้าออกไปขายดังกล่าว แต่มีรายได้จาก
ค่าบริการส่งออกและนำเข้าสินค้าเท่านั้น บริษัทฯ จะมีภาระภาษีดังนี้

          
          2.1
          กรณีการส่งออกสินค้า บริษัทฯ จะต้องนำเข้าสินค้าจาก A ในประเทศกัมพูชา โดยเป็น
ผู้ดำเนินพิธีการศุลกากร และยื่นใบขนสินค้าขาเข้าในนามบริษัทฯ จึงถือเป็นผู้นำเข้าตามมาตรา
77/1(11) แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 และถือเป็น
ภาษีซื้อนำมาหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ ได้ตามมาตรา 82/3 แห่ง
ประมวลรัษฎากร และนำสินค้าดังกล่าวส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินพิธีการ
ศุลกากรและยื่นใบขนสินค้าขาออกในนามของบริษัทฯ จึงถือเป็นผู้ส่งออกตามมาตรา 77/1(14) แห่ง
ประมวลรัษฎากร จึงได้รับสิทธิในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(1) แห่ง
ประมวลรัษฎากร

          
          2.2
          กรณีที่บริษัทฯ เป็นตัวกลางส่งผ่านสินค้าเพื่อนำเข้าและส่งออกสินค้าโดยผ่านประเทศไทย
ให้กับ A ไปยังต่างประเทศนั้น บริษัทฯ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการติดต่อซื้อขายและรับจ่ายเงิน
ค่าสินค้าที่นำเข้าและส่งออกแต่อย่างใด บริษัทฯ ไม่มีรายได้จากการนำเข้าและส่งออกออกไป
ต่างประเทศดังกล่าว แต่มีเพียงรายได้จากค่าบริการในการเป็นตัวกลางส่งผ่านสินค้าเพื่อนำเข้าและ
ส่งออกสินค้าโดยผ่านประเทศไทยให้กับ A เท่านั้น ดังนั้น การนำเข้าและส่งออกสินค้าให้กับ A
จึงมิใช่รายได้จากการประกอบกิจการหรือเนื่องจากการประกอบกิจการ บริษัทฯ จึงไม่ต้องนำมูลค่า
ของสินค้าที่นำเข้าและส่งออกมารวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 แห่ง
ประมวลรัษฎากร