กค 0706/9031
6 กันยายน 2550
มาตรา 65 ทวิ (3) แห่งประมวลรัษฎากร
70/35260
บริษัทเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ประกอบกิจการผลิตนำเข้า ส่งออก ขายส่งและขายปลีกสินค้าประเภทสีและเคมีภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสิ่งทอ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2549บริษัทฯ (ผู้ซื้อ) และบริษัท ข. (ผู้ขาย) ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายกิจการบางส่วนโดยคู่สัญญาได้โอนและรับโอนทรัพย์สินและหนี้สิน กิจการที่ซื้อขายประกอบด้วย ที่ดิน อาคาร โรงงาน เครื่องจักร อุปกรณ์ อะไหล่ วัตถุดิบ และสินค้าคงคลังลูกหนี้และเจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้องกัน เป็นต้น
การซื้อขายกิจการดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อตกลงซื้อขายกิจการระหว่างบริษัทผู้ถือหุ้นและบริษัทที่เกี่ยวข้องของผู้ซื้อและผู้ขายในต่างประเทศ ดังนั้นราคาซื้อขายกิจการระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในประเทศไทยจึงถูกกำหนดให้สอดคล้องกับข้อตกลงดังกล่าว มีมูลค่าตามสัญญาโดยประมาณ 190 ล้านบาท สำหรับราคาตามบัญชีสุทธิ (net book value) ของกิจการดังกล่าวได้มีการประเมินราคาโดยผู้เชี่ยวชาญการประเมินราคาอิสระ ณ วันทำสัญญาซื้อขาย มีมูลค่ารวมโดยประมาณ 900 ล้านบาท บริษัท ข. ผู้ขายพิจารณาว่าราคาทรัพย์สินซึ่งถูกประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญการประเมินราคาอิสระ เป็นราคาตลาดตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯผู้ซื้อจะบันทึกบัญชีผลต่างระหว่างราคาซื้อขายและราคาตามบัญชีสุทธิเป็นจำนวนโดยประมาณ 710 ล้านบาทเป็นรายได้ค่าความนิยมติดลบ (negative goodwill )ตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไปโดยทยอยรับรู้รายได้ตามอายุการใช้งานของทรัพย์สินที่รับโอนมา
บริษัทฯ ขอเรียนหารือในประเด็นดังต่อไปนี้
1. บริษัทฯ เข้าใจว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯผู้ซื้อยังไม่มีหน้าที่และความรับผิดทางภาษีอากรในการนำค่าความนิยมติดลบ (negative goodwill)มารวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับซื้อกิจการดังกล่าวมา ทั้งนี เนื่องจากการรับซื้อกิจการมาในราคาต่ำกว่าราคาตามบัญชีสุทธิหรือราคาตลาดจะไม่ถือเป็นรายได้ของผู้ซื้อทันทีในรอบระยะเวลาที่ได้รับซื้อกิจการนั้นและบริษัทฯ ผู้ซื้อสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายหรือค่าเสื่อมราคาตามประเภททรัพย์สินที่ซื้อมาจากราคาซื้อขายใช่หรือไม่
2. ในกรณีที่บริษัทฯ ผู้ซื้อต้องรับรู้รายได้ค่าความนิยมติดลบในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทฯ ผู้ซื้อจะต้องทยอยรับรู้ค่าความนิยมติดลบเป็นรายได้ตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป หรือบันทึกเป็นรายได้ทั้งจำนวนทันทีในปีที่ได้รับโอนกิจการหรือควรบันทึกในลักษณะอื่นใดหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ บริษัทฯ ผู้ซื้อ ควรจะใช้ราคาทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาตามราคาซื้อขายหรือราคาตามบัญชีสุทธิเพื่อใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายหรือค่าเสื่อมราคาในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
1. การซื้อขายกิจการบางส่วนระหว่างบริษัทฯ ผู้ซื้อและบริษัท ข.ผู้ขายตามข้อเท็จจริง บริษัทฯ ผู้ซื้อจะต้องนำส่วนต่างระหว่างราคาที่พึงซื้อทรัพย์สินนั้นได้ตามปกติตามมาตรา 65 ทวิ (3)แห่งประมวลรัษฎากร และราคาซื้อขายตามสัญญา มารวมคำนวณเป็นรายได้ทั้งจำนวนทันทีในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับซื้อกิจการนั้นเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
2. การซื้อขายกิจการบางส่วนระหว่างบริษัทฯ ผู้ซื้อและบริษัท ข. ผู้ขายตามข้อเท็จจริงบริษัทฯ ผู้ซื้อจะต้องใช้ราคาทรัพย์สินตามราคาที่พึงซื้อทรัพย์สินนั้นได้ตามปกติตามมาตรา 65 ทวิ (3)แห่งประมวลรัษฎากร มาใช้ในการคำนวณรายจ่ายหรือค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามประเภททรัพย์สินในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล