กค 0706/9090
7 กันยายน 2550
มาตรา 49 ทวิ และมาตรา 48(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร
70/35278
กรณีการคำนวณภาษีและการนับจำนวนปีที่ถือครองของการให้ถือกรรมสิทธิ์รวมและการขายอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งสรุปข้อเท็จจริง ดังนี้
1. นาย ป. เป็นเจ้าของที่ดินโฉนด จังหวัดนนทบุรี นาย ป. เสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2538
2. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2542 ได้มีการโอนที่ดินทั้ง 3 แปลงตามคำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตามคดีหมายเลขแดง ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2538 ให้แก่ นางสาว ก. และ นาย อ. ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนาย ป.
3. เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2547 นางสาว ก. และนาย อ. ในฐานะผู้จัดการมรดก ได้โอนที่ดินมรดกทั้ง 3 แปลงให้ นางสาว ก. นาย อ. นาย ส. และนางสาว ท. เข้าถือกรรมสิทธิ์รวม และต่อมาได้มีการทำนิติกรรมกับที่ดินทั้ง 3 แปลง ดังนี้
3.1 ที่ดินได้โอนขายให้บริษัท ธ. (บริษัท ธ.) ซึ่งมี นางสาว ก. และนาย อ. เป็นกรรมการ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2548 ในราคา 12,000,000 บาท
3.2 ที่ดินได้จดทะเบียนให้บริษัท ธ. เข้าถือกรรมสิทธิ์รวม ดังนี้
(1) ในวันที่ 4 เมษายน 2548 ถือกรรมสิทธิ์รวม 1 ส่วนใน 4 ส่วน
(2) ในวันที่ 7 เมษายน 2548 ถือกรรมสิทธิ์รวม 1 ส่วนใน 3 ส่วน
(3) ในวันที่ 11 เมษายน 2548 ถือกรรมสิทธิ์รวม 1 ส่วนใน 2 ส่วน
3.3 ที่ดินโฉนดเลขที่ 126426 ได้จดทะเบียนให้บริษัท ธ. ถือกรรมสิทธิ์รวม ดังนี้
(1) ในวันที่ 4 เมษายน 2548 ถือกรรมสิทธิ์รวม 1 ส่วนใน 4 ส่วน
(2) ในวันที่ 7 เมษายน 2548 ถือกรรมสิทธิ์รวม 1 ส่วนใน 3 ส่วน
(3) ในวันที่ 11 เมษายน 2548 ถือกรรมสิทธิ์รวม 1 ส่วนใน 2 ส่วน
4. เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2548 ได้ทำสัญญาขายที่ดินเฉพาะส่วนรวม รวม 2 โฉนดให้แก่บริษัท ธ. เป็นเงิน 16,500,000 บาท
1. ที่ดินทั้ง 3 แปลงของนาย ป. บิดา ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2538ได้ตกเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาททั้ง 4 คน ทันที นับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ ตามมาตรา 1299 และมาตรา 1599 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และที่ดินมรดกทั้ง 3แปลงดังกล่าวเป็นที่ดินที่ยังไม่ได้แบ่งกรรมสิทธิ์ว่า ผู้ใดมีกรรมสิทธิ์อยู่ตรงบริเวณใด ดังนั้น ทายาททั้ง 4 คนจึงมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกร่วมกัน เมื่อทายาทได้นำที่ดินมรดกไปให้ บริษัท ธ. ถือกรรมสิทธิ์รวมตามส่วนของตนโดยมีค่าตอบแทนและขายที่ดินมรดกให้แก่ บริษัท ธ. ทั้ง 2 กรณี ถือเป็นการขาย ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
2. เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง ตามมาตรา 50 (5)(ก) แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดว่า ทุกคราวที่มีการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น โดยคำนวณหักค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ของราคาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดโดยถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนตามมาตรา 49 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง โดยเริ่มนับแต่วันที่ เจ้ามรดกตายจนถึงวันที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้คำนวณตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดให้คูณด้วย จำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสียและถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 48(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น การหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงต้องคำนวณภาษีจากฐานของราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าจดทะเบียนสิทธิ์และนิติกรรม ในแต่ละครั้งที่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองมิใช่คำนวณภาษีจากฐานรายรับรวมทั้งโฉนดแต่อย่างใด