กค 0702/2392
16 พฤศจิกายน 2551
มาตรา 69 ทวิ และมาตรา 83/6(1) แห่งประมวลรัษฎากร
71/35862
1. บริษัทฯ ได้ร่วมกับบริษัทอื่นๆ ในลักษณะของกลุ่มบริษัท (Consortium) ทำสัญญารับจ้าง รฟท. เพื่อก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟตามข้อสัญญาว่าจ้างก่อสร้างได้กำหนดให้บริษัทฯ มีหน้าที่หาแหล่งเงินทุน เพื่อใช้จ่ายในโครงการก่อสร้าง และ รฟท. ในฐานะผู้ว่าจ้างจะชำระค่าจ้างก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายทางการเงิน พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด เมื่อการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการ หรือเมื่อครบกำหนด 990 วัน นับแต่วันเริ่มงานตามสัญญาก่อสร้าง โดย รฟท. อาจชำระเงินค่าจ้างให้แก่บริษัทฯ หรืออาจชำระ ให้แก่ธนาคารผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินก็ได้ ในกรณีที่บริษัทฯ ได้โอนสิทธิการรับชำระเงินค่าจ้างก่อสร้างไปให้แก่ธนาคารผู้ให้การสนับสนุนทางการเงิน นอกจากนี้ ตามข้อสัญญายังได้กำหนดว่า ในระหว่างดำเนินการ ก่อสร้างและยังไม่ถึงกำหนดชำระค่าจ้างก่อสร้างตามสัญญา รฟท. มีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองผลงานการ ก่อสร้างตามงวดงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จ มอบให้บริษัทฯ เพื่อนำไปแสดงและเป็นหลักฐานประกอบการขอ รับเงินจากธนาคารผู้ให้การสนับสนุนทางการเงิน สำนักงานสรรพากรภาค 2 หารือว่า การชำระเงินค่าจ้าง ก่อสร้างตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในสัญญา จะเกิดภาระการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อใด
เนื่องจากการรับจ้างก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟตามสัญญาดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของ ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจึงเกิดขึ้น เมื่อบริษัทฯ ได้รับชำระค่าบริการตามมาตรา 78/1 แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อ รฟท. จ่ายค่าจ้างให้กับบริษัทฯ รฟท. มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ในอัตราร้อยละ 1 ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ว่า รฟท. จะจ่ายเงินค่าจ้างโดยตรงให้แก่บริษัทฯ หรือจ่ายให้แก่ ธนาคารผู้ให้การสนับสนุนทางการเงิน ตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างบริษัทฯ กับธนาคารผู้ให้การสนับสนุน ทางการเงินก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หากในการตรวจสอบปรากฏพบหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใด ที่แสดงให้เห็นว่า รฟท. ได้มีการ ชำระเงินค่าจ้างก่อสร้างหรือที่อาจถือได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของเงินค่าจ้างก่อสร้างตามสัญญาก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จ รฟท. มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายเมื่อจ่ายค่าจ้างและบริษัทฯ จะมีความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น เมื่อมีการรับชำระเงินค่าจ้างนั้น
