กค 0706/11574
-
มาตรา 91/1(4), มาตรา 91/2(6)
-
นาย ภ. ในฐานะบุคคลในคณะบุคคลฯ ขอให้พิจารณาหาแนวทางและให้ความเป็นธรรม กรณี
สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานครมีหนังสือให้คณะบุคคลฯ ไปชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ เนื่องจากมี
รายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีข้อเท็จจริงสรุปได้ ดังนี้
1. ที่ดินโฉนดเลขที่ 10000 และเลขที่ 10001 ตำบลสามเสนใน อำเภอดุสิต(บางซื่อ)
กรุงเทพมหานคร เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ นาย บ. ซึ่งเป็นบิดาของ นาย ภ. น.ส. ป.และ นาย ว.
ปัจจุบันมีภาระจำนองอยู่กับธนาคารฯ
2. ในปี 2537 นาย บ. กับบุตรทั้ง 4 คน ตกลงกันว่า จะสร้างบ้านใหม่เนื่องจากบ้านหลัง
เดิมทรุดโทรมและบุตรต้องการทดแทนบุญคุณบิดา นาย บ. จึงอนุญาตให้บุตรดำเนินการได้และเข้าใจว่า
ในอนาคตต่อไปบิดาต้องยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้บุตรอยู่แล้ว จึงให้บุตรเป็นผู้ขออนุญาตก่อสร้างเอง
โดยตรง
3. บุตรทั้ง 4 คน ได้ดำเนินการยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างต่อเขตพญาไท โดยไม่มี
หนังสือมอบอำนาจจากเจ้าของที่ดิน เมื่อก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จบุตรทั้ง 4 เป็นผู้ยื่นคำร้องขอเลขหมาย
ประจำบ้าน
4. ต่อมา นาย บ. มีความประสงค์จะยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุตร จึงได้ทราบว่าการ
ขออนุญาตก่อสร้างนั้นเป็นผลให้บุตรเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคาร นาย บ. มีสิทธิที่จะยกให้เฉพาะที่ดิน
เท่านั้น ส่วนสิ่งปลูกสร้างยกให้ไม่ได้เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงนาย บ. เพื่อให้การยกให้
ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จะยกให้บุตรในภายหน้าถูกต้องตามกฎหมาย จึงให้บุตรทั้ง 4 คนยกอาคารให้บิดา
โดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน สำนักงานที่ดินฯ จึงประเมินราคาทรัพย์สินเป็นเงิน 800,000 บาท ต่อ
สิ่งปลูกสร้าง 1 คูหา
กรณี นาย บ. ผู้เป็นบิดาของบุตร 4 คน มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้อนุญาตให้บุตรยื่นคำร้องต่อ
สำนักงานเขตขออนุญาตปลูกสร้างอาคารบนที่ดินดังกล่าว และเป็นผู้ขอเลขบ้านจึงเป็นกรณีผู้มีสิทธิในที่ดิน
ของบุคคลอื่น ใช้สิทธิปลูกสร้างโรงเรือน ในที่ดิน โรงเรือนจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน บุตรผู้ขออนุญาต
ปลูกสร้างอาคารจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในอาคารนั้นตามมาตรา 146 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ดังนั้น อาคารดังกล่าวข้างต้นเป็นกรรมสิทธิ์ของบุตรนายบุญเลิศฯ และอาคารเป็น
อสังหาริมทรัพย์ตามนัยมาตรา 139 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อบุตรได้ทำหนังสือสัญญาให้
4 ฉบับ ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2537 คู่กรณีตีราคาทรัพย์สินคูหาละ 800,000 บาท การให้ถือเป็น
การขายตามมาตรา 91/1(4) แห่งประมวลรัษฎากร การโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจึงเป็น
การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กระทำภายในห้าปี นับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น เข้าลักษณะเป็น
การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 3(6) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 244)
พ.ศ. 2534 อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2(6) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีบุตร
ทั้ง 4 คน ในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล จึงมีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับ
การขายอสังหาริมทรัพย์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2537 แต่เนื่องจากคณะบุคคลฯ ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยง
ภาษี จึงให้งดเบี้ยปรับสองเท่าของเงินภาษีที่ต้องเสีย ตามมาตรา 89(2) และมาตรา 91/21(6) แห่ง
ประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2 ข้อ 11 และข้อ 13 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.81/2542 ฯ
ลงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2542