กค 0811/16116
26 พฤศจิกายน 2540
ประเด็นปัญหา
60/26114
บริษัทฯ ได้จัดโครงการตลาดนัดคนเคยรวย เพื่อช่วยเหลือบุคคลให้นำทรัพย์สินของใช้
ส่วนตัวมาขายในราคาถูก หรือบริษัทฯ อื่นนำสินค้าค้างสต็อกหรือเครื่องใช้สำนักงานมาขายเลหลัง ซึ่งมีผู้
ให้ความสนใจมาขายและซื้อเป็นจำนวนมากโดยบริษัทฯ มิได้คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ได้ประโยชน์ใน
การส่งเสริมการขายรถเบนซ์ใหม่ ซึ่งการขายสินค้าดังกล่าวผู้ขายจะต้องมีภาระภาษีอย่างไร
1. ภาษีเงินได้
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดา
1.1.1 การขายทรัพย์สินสิ่งของใช้ส่วนตัวที่เป็นสังหาริมทรัพย์ที่มิใช่ เรือกำปั่น
เรือที่มีระวางตั้งแต่หกตันขึ้นไป เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป หรือแพ การขาย
ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็น "การขายสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร"
ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42(9) แห่ง
ประมวลรัษฎากร
1.1.2 การขายสินค้าที่ไม่เข้าลักษณะตามข้อ 1.1.1 หรือการขายเรือกำปั่น
เรือที่มีระวางตั้งแต่หกตันขึ้นไป เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป หรือแพ เงินได้จาก
การขายดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
ผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 56 และมาตรา 56 ทวิ
แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี โดยมีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร หรือหักค่า
ใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตราร้อยละ 80 ทั้งนี้ ตามมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา
8(25) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2502 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับ
ที่ 131) พ.ศ.2526
1.1.3 การขายที่ดินหรือที่ดินพร้อมอาคาร เงินได้จากการขายที่ดินหรือที่ดินพร้อม
อาคาร เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีเงินได้มีหน้าที่
ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้
ก. หากเป็นเงินได้ที่ได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้
มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่ง ตามมาตรา 50(5) และ
มาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการ ผู้มีเงินได้มีสิทธิจะเลือกเสีย
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้ประเภทอื่นก็ได้ ตาม
มาตรา 48(4) แห่งประมวลรัษฎากร
ข. หากเป็นเงินได้ที่ได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร
ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่ง ตามมาตรา 50(5)(ข) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
เมื่อถึงกำหนดเวลายื่นรายการ ผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้ประเภทอื่น
ตามมาตรา 48(4) แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่การขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว เข้าลักษณะเป็น
การขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น ตามมาตรา 3(6)
แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 ซึ่งได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(5)
แห่งประมวลรัษฎากร และได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะไว้แล้ว เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้
ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้นั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 3 แห่ง
พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 247) พ.ศ.2534
1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล
รายได้จากการขายสินค้าหรือทรัพย์สินของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามข้อ
เท็จจริงข้างต้น เข้าลักษณะเป็นรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าว ต้องนำรายได้นั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตาม
มาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.1 กรณีบุคคลธรรมดา ได้ขายสินค้าที่เป็นทรัพย์สินสิ่งของใช้ส่วนตัว ตามข้อเท็จจริง
ข้างต้น หากการขายสินค้าดังกล่าวไม่ได้กระทำในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ ไม่อยู่ในบังคับต้องเสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 และมาตรา 77/1(5) แห่งประมวลรัษฎากร
2.2 กรณีบุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้ขายสินค้าหรือเครื่องใช้สำนักงานตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ผู้ประกอบการ
จดทะเบียนต้องนำมูลค่าที่ได้รับมาคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3
แห่งประมวลรัษฎากร
3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
3.1 กรณีบุคคลธรรมดา ได้ขายที่ดินหรือที่ดินพร้อมอาคารที่ได้กระทำภายใน 5 ปี
นับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น หรือที่ดินพร้อมอาคารที่ใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยอันเป็นแหล่งสำคัญ
โดยผู้ขายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร์ และได้อาศัยเป็นเวลาน้อยกว่า
หนึ่งปีนับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น เข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็น
ทางค้าหรือหากำไร ตามมาตรา 3(6) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 ผู้ขายมีหน้าที่
ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/2(6)แห่งประมวลรัษฎากร
อนึ่ง กรณีการซื้อที่ดินหรือที่ดินพร้อมอาคารมาแล้วขายไป หากการขายดังกล่าวไม่เข้า
ลักษณะตามมาตรา 3(1)(2)(3)(4) หรือ (5) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 ที่
ได้กระทำเกินกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น หรือการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มา
โดยทางมรดก หรือการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยอันเป็นแหล่งสำคัญ โดยผู้ขายมีชื่ออยู่
ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร และได้อาศัยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี นับแต่
วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น การขาย อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ไม่เข้าลักษณะเป็น
การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร จึงไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
3.2 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ได้ขายที่ดินหรือที่ดินพร้อมอาคาร ตาม
ข้อเท็จจริงข้างต้น เข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ใช้ในการประกอบกิจการ อันเป็น
การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามมาตรา 3(5) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตาม
ความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.
2534 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้ขายมีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ในอัตราร้อยละ 3.0 ทั้งนี้
ตามมาตรา 91/2(6) และมาตรา 91/6(3) แห่งประมวลรัษฎากร และภาษีท้องถิ่นอีกร้อยละ 10.0
ของภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการ ได้รับยกเว้น
ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ ทั้งนี้ ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีธุรกิจเฉพาะ
เรื่อง กำหนดกิจการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2535
4. กรณี บริษัทฯ ได้จัดสถานที่ให้กับบุคคลทั่วไปในการขายสินค้า โดยจัดให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่
เพื่อให้เป็นจุดสนใจของประชาชนในการซื้อสินค้าเหล่านั้น โดยบริษัทฯ ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากบุคคล
ดังกล่าวแต่อย่างใด การจัดสถานที่เพื่อให้บุคคลได้ขายสินค้าดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการ "บริการ" ตาม
มาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร โดยที่การให้บริการดังกล่าวบริษัทฯ จะไม่ได้รับค่าตอบแทน
ทั้งนี้เนื่องจากสภาพการณ์ของเศรษฐกิจ และบริษัทฯ ประสงค์จะจัดให้เป็นศูนย์รวมขนาดใหญ่ในการซื้อ
ขายสินค้าของบุคคลผู้ประสบภาวะทางเศรษฐกิจ ได้ซื้อขายสินค้าดังกล่าวในราคาถูก เพื่อให้มีรายได้มา
บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของบุคคลเหล่านั้น และเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการขายสินค้าของ
บริษัทฯ การให้บริการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการให้บริการ โดยไม่มีค่าตอบแทนโดยมีเหตุอันสมควร
เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจประเมินค่าตอบแทนตามราคาตลาดของการให้บริการนั้น เพื่อเสีย
ภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร และเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตาม
มาตรา 79/3(1) แห่งประมวลรัษฎากร