views

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีบริษัทควบเข้ากัน

วันที่: 14 ธันวาคม 2548
เลขที่หนังสือ

กค 0706/10422

วันที่

14 ธันวาคม 2548

ข้อกฎหมาย

มาตรา 50(1) มาตรา 50 ทวิ มาตรา 58 มาตรา 60 มาตรา 65 วรรคสอง มาตรา 73 มาตรา 82/3 มาตรา 82/9 มาตรา 82/10 มาตรา 85/14 มาตรา 85/15 และ มาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้

68/33735

ข้อหารือ

      บริษัท ท. แจ้งว่า บริษัทฯ และบริษัท ป. โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2548 ต่างได้มีมติอนุมัติการควบบริษัท ซึ่งเป็นการควบบริษัทภายใต้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (พรบ.บริษัทมหาชน) ทั้งนี้ บริษัททั้งสองคาดว่า คณะกรรมการของบริษัทใหม่จะดำเนินการขอจดทะเบียนควบบริษัทกับนายทะเบียนของกระทรวงพาณิชย์ในวันที่ 7 ธันวาคม 2548 โดยบริษัททั้งสองจะหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคล และเกิดบริษัทใหม่ขึ้นในทันทีที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนการควบบริษัทแล้ว (บริษัทใหม่) บริษัทฯ จึงขอทราบข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับภาระภาษีของทั้งสองบริษัท (บริษัทเก่า) และบริษัทใหม่ ดังต่อไปนี้

แนววินิจฉัย

      1.ตามมาตรา 152 และมาตรา 153 แห่ง พรบ.บริษัทมหาชน กำหนดว่า เมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนการควบบริษัทแล้ว ให้บริษัทเดิมที่ได้ควบเข้ากันหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคล โดยบริษัทที่ควบกันและจดทะเบียนแล้วย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบของบริษัทเหล่านั้นทั้งหมด ดังนั้น บุคคลใดเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ของบริษัทเดิมที่มาควบเข้ากัน บุคคลนั้นจะเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ของบริษัทใหม่ต่อไป หรือบริษัทเดิมมีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายอย่างใด บริษัทใหม่ก็จะเป็นผู้ได้รับสิทธินั้นต่อไป เว้นแต่กรณีที่กฎหมายซึ่งกำหนดให้สิทธิหน้าที่นั้นจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นโดยเฉพาะ
      2.ตามมาตรา 85/14 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้บริษัทใหม่ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนแจ้งการเลิกประกอบกิจการภายใน 15 วัน นับจากวันเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 แห่งประมวลรัษฎากร และให้บริษัทใหม่ซึ่งได้ควบเข้ากันยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนบริษัทใหม่ ทั้งนี้ ไม่ต้องปฏิบัติตามแนวทางคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.66/2539ฯ ลงวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2539 กรณีการแจ้งเลิกประกอบกิจการสำหรับการควบบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.66/2539ฯ ลงวันที่ 29 ธันวาคมพ.ศ. 2539เป็นแนวปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เลิกประกอบกิจการตามจริง โดยสิทธิและหน้าที่ในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะหมดไปในวันที่อธิบดีกรมสรรพากรสั่งขีดชื่อออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85/19 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแตกต่างจากกรณีการควบบริษัทที่กฎหมายกำหนดให้บริษัทใหม่ย่อมได้ไปทั้งสิทธิและหน้าที่ในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทเก่าทั้งหมด ทั้งนี้ ตามมาตรา 153 แห่ง พรบ.บริษัทมหาชน และเนื่องจากการควบบริษัททำให้บริษัทเก่าหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 152 แห่ง พรบ.บริษัท มหาชน บริษัทเก่าจึงไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ต่อไป นับแต่วันถัดจากวันที่จดทะเบียนควบบริษัท
      3.กรณีบริษัทเก่าได้มีการขายสินค้าหรือให้บริการไปแล้วก่อนวันที่จดทะเบียนควบบริษัท แต่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและในการออกใบกำกับภาษียังไม่เกิดขึ้น หากความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการดังกล่าวได้เกิดขึ้นนับแต่วันถัดจากวันที่จดทะเบียนควบบริษัท ให้บริษัทใหม่มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือให้บริการนั้นตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร และให้นำภาษีขายไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร โดยบริษัทใหม่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และชำระภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือให้บริการนั้นตามมาตรา 83 แห่งประมวลรัษฎากร
      4.กรณีบริษัทเก่าได้ซื้อสินค้าหรือรับบริการไปแล้วก่อนวันที่จดทะเบียนควบบริษัท แต่ได้รับใบกำกับภาษีสำหรับการซื้อสินค้าหรือรับบริการดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันที่จดทะเบียนควบบริษัท ให้บริษัทใหม่มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีนั้นมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรได้ โดยบริษัทใหม่จะต้องให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่จัดทำใบกำกับภาษีดำเนินการยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิม และจัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ที่ถูกต้องโดยระบุชื่อบริษัทใหม่เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
      5.กรณีบริษัทเก่าได้มีการขายสินค้าหรือให้บริการไปแล้วก่อนวันที่จดทะเบียนควบบริษัท และได้นำภาษีขายไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต่อมาถ้ามีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 82/9 และมาตรา 82/10 แห่งประมวลรัษฎากร เกิดขึ้นอันเป็นเหตุให้ภาษีขายที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการมีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ให้บริษัทใหม่มีหน้าที่ออกใบเพิ่มหนี้ตามมาตรา 86/9 หรือใบลดหนี้ตามมาตรา 86/10 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ สำหรับใบเพิ่มหนี้หรือใบลดหนี้ที่บริษัทใหม่ได้รับจะต้องให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนระบุชื่อบริษัทใหม่เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
      6.การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ ในการคำนวณรายได้และรายจ่ายให้ใช้เกณฑ์สิทธิตามมาตรา 65 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น การคำนวณรายได้และรายจ่ายสำหรับบริษัทเก่าก่อนวันที่จดทะเบียนควบบริษัท และบริษัทใหม่นับแต่วันถัดจากวันที่ควบบริษัท ให้ใช้เกณฑ์สิทธิโดย
            6.1 การรับรู้รายได้สำหรับเงินชดเชยภาษีอากรในรูปบัตรภาษีจากกรมศุลกากรให้คำนวณเป็นรายได้เมื่อได้รับหนังสือแจ้งอนุมัติให้ได้รับบัตรภาษีจากกรมศุลกากรตามเกณฑ์สิทธิในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า กรมศุลกากรได้มีหนังสือแจ้งการคืนเงินอากรให้รับทราบนับแต่วันถัดจากวันที่จดทะเบียนควบบริษัท บริษัทใหม่จะต้องรับรู้เงินชดเชยภาษีอากรเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
            6.2 กรณีบริษัทเก่ามีผลขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงระบบเงินตราแบบลอยตัวของปี 2540 รอตัดบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชี 1 มกราคม 2548 31 ธันวาคม 2548 ซึ่งเป็นงวดสุดท้าย ให้บริษัทเก่านำผลขาดทุนดังกล่าวมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ทั้งจำนวนในรอบระยะเวลาบัญชี 1 มกราคม 2548 6 ธันวาคม 2548 ซึ่งเป็นรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายของบริษัทเก่าได้
      7.กรณีบริษัทเก่าได้มีการรับบริการไปแล้วก่อนวันที่จดทะเบียนควบบริษัท หากบริษัทใหม่เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินสำหรับการรับบริการดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันที่จดทะเบียนควบบริษัท ให้บริษัทใหม่เป็นผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
      8.กรณีบริษัทเก่าได้มีการให้บริการไปแล้วก่อนวันที่จดทะเบียนควบบริษัท แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินสำหรับการให้บริการดังกล่าวและได้รับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยระบุชื่อบริษัทเก่าเป็นผู้ถูกหักภาษีนับแต่วันถัดจากวันที่จดทะเบียนควบบริษัท เนื่องจากบริษัทเก่ามีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 73 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น จำนวนเงินภาษีที่หักและนำส่งตามหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายดังกล่าว ให้ถือเป็นเครดิตภาษีของบริษัทเก่าในการคำนวณภาษี ทั้งนี้ ตามมาตรา 60 แห่งประมวลรัษฎากร
      9.การหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับเงินเดือนพนักงานตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร ให้บริษัทเก่าคำนวณหักภาษีเงินได้สำหรับรายจ่ายเงินเดือนพนักงานจนถึงวันก่อนวันจดทะเบียนควบบริษัท และให้บริษัทใหม่คำนวณหักภาษีเงินได้สำหรับเงินเดือนพนักงานที่จ่ายตั้งแต่วันจดทะเบียนควบบริษัทเป็นต้นไป โดยให้บริษัทใหม่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.1ก. และ ภ.ง.ด.2ก. ของบริษัทเก่าด้วย ทั้งนี้ ตามมาตรา 58 แห่งประมวลรัษฎากร