กค 0706/10333
18 ธันวาคม 2549
พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 340) พ.ศ. 2541 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฯ ลงวันที่ 27 กันยายน 2542
69/34696
บริษัท A ได้หารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับกรณีการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัด
หรือบริษัทจำกัด ดังนี้
1. เนื่องจากศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2547
ให้โอนกิจการทั้งหมดของบริษัท A และบริษัท B ให้กับบริษัท C ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ศาล
ล้มละลายกลางเห็นชอบ ซึ่งผู้บริหารแผนต้องดำเนินการโอนกิจการทั้งหมดตามคำพิพากษาของศาล
ล้มละลายกลางดังกล่าว บริษัท A จึงขอทราบว่า หากบริษัท A บริษัท B และบริษัท C ("กลุ่มบริษัท C")
ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัด หรือบริษัทจำกัด
เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 แต่จะเลือกไปใช้สิทธิยกเว้นภาษีอากรตาม
พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 340) พ.ศ. 2541
เนื่องจากกลุ่มบริษัท C ได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการและศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบตามกฎหมายล้มละลายแล้ว
ความเข้าใจของบริษัท A ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร
2. หากกลุ่มบริษัท C สามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีอากรตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 340) พ.ศ. 2541
ตามข้อ 1. ได้ กลุ่มบริษัท C จะมีวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการแจ้งการได้รับสิทธิยกเว้นภาษีต่อเจ้าพนักงาน
ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หรือเจ้าพนักงานอื่นของรัฐ อย่างไร
เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 340) พ.ศ. 2541 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ลูกหนี้
สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้หรือการประนอมหนี้ตามคำขอประนอมหนี้หรือแผนฟื้นฟูกิจการ
ที่ศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบแล้ว และยกเว้นภาษีอากรให้แก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการ
โอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการดำเนินการตาม
คำขอประนอมหนี้หรือแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่ศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบแล้ว ดังนั้น การโอนกิจการ
ทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัดจึงไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีอากรตาม
พระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว