กค 0702/2735
17 ธันวาคม 2552
คำสั่งกรมสรรพากร ท.ป.4/2528ฯ
-
บริษัทฯ ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถบรรทุก ได้ทำสัญญาเช่ารถยนต์ และสัญญาการให้บริการ พนักงานขับรถ กับบริษัท พ. ผู้ให้เช่าและผู้ให้บริการพนักงานขับรถ รายเดียวกัน แยกทำสัญญาเป็น 2 ฉบับ โดยมีข้อเท็จจริง สรุปได้ดังนี้
1. บริษัทฯ ได้ทำสัญญาเช่ารถยนต์ กับ บริษัท พ. ซึ่งเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายไทย มีทุนจดทะเบียน ชำระแล้วจำนวน 984 ล้านบาท และเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯ ทำสัญญาเช่ารถยนต์ มีกำหนดระยะ เวลา 3 ปี กำหนดชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ทำสัญญาเช่ารถยนต์หนึ่งฉบับต่อรถยนต์หนึ่งคัน โดยได้ระบุ หมายเลขทะเบียนรถไว้ในแต่ละสัญญา
2. บริษัท พ. ได้ทำสัญญาการให้บริการพนักงานขับรถยนต์กับบริษัทฯ อีกฉบับหนึ่งแยกต่างหากจากสัญญาเช่ารถยนต์ โดยมิได้ระบุว่าพนักงานแต่ละคนต้องขับรถคันที่เช่ามาคันใดคันหนึ่งเป็นประจำ โดยจะทำสัญญาเป็นรายปี ปีละ 1 สัญญา กำหนด ชำระค่าบริการ และค่าบริการเพิ่มเติม (กรณีพนักงานขับรถปฏิบัติงานนอกเวลาทำการปกติหรือเดินทางไปต่างจังหวัด) เป็นรายเดือน เนื่องจากวัตถุประสงค์และกำหนดระยะเวลาของสัญญาเช่ารถยนต์และสัญญาให้บริการพนักงานขับรถยนต์แตกต่างกัน บริษัทฯ ขอหารือว่า ความเข้าใจดังต่อไปนี้ ถูกต้องหรือไม่
1. สัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นการให้เช่าแบบลิสซิ่ง ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ตามข้อ 6 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หัก ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าเช่ารถยนต์ จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
2. สัญญาการให้บริการพนักงานขับรถยนต์ดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นสัญญาให้บริการเมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าบริการดังกล่าว จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 8(2) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528
3. บริษัทฯ มีสิทธินำค่าบริการตามสัญญาการให้บริการพนักงานขับรถยนต์มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อ เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยรายจ่าย ที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ 315) พ.ศ. 2540
72/37049