กค 0811/02217
19 กุมภาพันธ์ 2541
ประเด็นปัญหา
61/26423
กรณีเงินค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทผู้รับประกันภัย มีหน้าที่ชดใช้ให้กับผู้เอาประกันภัยตาม
สัญญาประกันภัย ดังนี้
1. เงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด หรือเงินที่ได้จากการประกันภัย ที่ผู้เอาประกันภัยได้
รับ ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42 (13) แห่งประมวลรัษฎากร
ใช่หรือไม่
2. กรณีบริษัทผู้รับประกันภัยได้จ่ายเงินชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นค่าซ่อมยานพาหนะดัง
ต่อไปนี้บริษัทผู้รับประกันภัยมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ หรือไม่
2.1 บริษัทผู้รับประกันภัยเป็นผู้สั่งซ่อมและชำระค่าซ่อมให้แก่ผู้รับจ้างโดยตรง
2.2 ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้สั่งซ่อม แต่บริษัทผู้รับประกันภัยเป็นผู้ชำระค่าซ่อมให้แก่
ผู้รับจ้างโดยตรง
2.3 ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้สั่งซ่อม และได้สำรองจ่ายค่าซ่อมให้แก่ผู้ซ่อมไปก่อน แล้วผู้
เอาประกันภัยไปเบิกเงินที่สำรองจ่ายนั้นคืนจากบริษัทผู้รับประกันภัย
3. กรณีบริษัทผู้รับประกันภัยได้จ่ายเงินชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นค่ารักษาพยาบาลของผู้
เอาประกันภัยให้แก่โรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชน หรือคลีนิคโดยตรง บริษัทผู้รับประกันภัยมี
หน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528
หรือไม่
4. ถ้าบริษัทผู้รับประกันภัยได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้โดยไม่มีหน้าที่แล้ว บริษัทผู้รับประกันภัยจะ
ขอคืนเงินภาษีที่หักไว้ได้หรือไม่ หรือบุคคลใดมีหน้าที่ขอคืน
1. ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดหรือเงินที่ได้จากการประกันภัย เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้
รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42 (13) แห่งประมวลรัษฎากร
2. การซ่อมยานพาหนะและการรักษาพยาบาล เข้าลักษณะเป็นสัญญารับจ้างทำของ ตาม
มาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ผู้รับจ้างรับที่จะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ
ค่าซ่อมยานพาหนะหรือค่ารักษาพยาบาลจึงเป็นค่าจ้างทำของ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา
40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น กรณีตามข้อ 2 และข้อ 3 พิจารณาดังนี้
2.1 ถ้าบริษัทผู้รับประกันภัยเป็นผู้จ่ายเงินค่าซ่อมยานพาหนะหรือค่ารักษาพยาบาล ให้
แก่ผู้รับซึ่งเป็น
(1) ผู้รับจ้างซ่อมยานพาหนะ โรงพยาบาลเอกชน หรือคลีนิค ซึ่งมีหน้าที่เสีย
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(2) ผู้รับจ้างซ่อมยานพาหนะ โรงพยาบาลเอกชน หรือคลีนิค ซึ่งเป็นบริษัทหรือ
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคม
ทั้งนี้ ไม่ว่าบริษัทผู้รับประกันภัยหรือผู้เอาประกันภัยเป็นผู้สั่งซ่อมให้บริษัทผู้รับ
ประกันภัยคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ทั้งนี้ ตามมาตรา 3 เตรส ประกอบข้อ 8 (1)
หรือ (2) ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่องสั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40
แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 แก้ไขโดย
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.19/2530 ฯ ลงวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2530
(3) โรงพยาบาลของรัฐ บริษัทผู้รับประกันภัยไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่
อย่างใดเนื่องจากโรงพยาบาลของรัฐมิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งไม่มี
หน้าที่เสียภาษีเงินได้
2.2 ถ้าผู้เอาประกันภัยเป็นผู้สำรองจ่ายเงินค่าซ่อมยานพาหนะ แล้วนำใบเสร็จรับเงิน
ไปเบิกคืนจากบริษัทผู้รับประกันภัย ถ้าใบเสร็จรับเงินระบุชื่อบริษัทผู้รับประกันภัยเป็นผู้จ่ายเงิน บริษัท
ผู้รับประกันภัยต้องคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามมาตรา 3 เตรส ประกอบข้อ
8 (1) หรือ (2) ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 แก้ไข
โดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.19/2530 ฯ ลงวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2530 แต่ถ้าใบเสร็จรับเงิน
ระบุชื่อผู้เอาประกันภัยเป็นผู้จ่ายเงิน ถือเป็นกรณีบริษัทผู้รับประกันภัยจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด
หรือเงินที่ได้จากการประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยบริษัทผู้รับประกันภัยไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายแต่
อย่างใด
แต่กรณีผู้เอาประกันภัยเป็นผู้จ่ายเงินค่าซ่อมยานพาหนะ จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับการหัก
ภาษี ณ ที่จ่ายดังนี้
(1) ผู้เอาประกันภัยเป็นบุคคลธรรมดา (ก) ถ้าผู้รับจ้างฯ เป็น
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทย โดย
มิได้มีสำนักงานสาขาตั้งอยู่เป็นการถาวรในประเทศไทย ผู้เอาประกันภัยต้องคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้
ในอัตราร้อยละ 5.0 ตามมาตรา 3 เตรส ประกอบกับข้อ 12 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528
เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากรมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 แก้ไขโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.19/2530 ฯ ลงวันที่ 22
ตุลาคม พ.ศ. 2530 (ข) ถ้าผู้รับจ้างฯเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือเป็น
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ผู้เอาประกันภัยไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
เพราะไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8)
แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด
(2) ผู้เอาประกันภัยเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
ต้องคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามมาตรา 3 เตรส ประกอบกับข้อ 8 (1) และ
(2) ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่ง
ประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 แก้ไขโดย
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.19/2530 ฯ ลงวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2530
3. เงินภาษีที่ได้หักและนำส่ง ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ผู้ต้องเสียภาษีได้รับตามมาตรา
60 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น ถ้าบริษัทผู้รับประกันภัยได้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งไว้โดยไม่มีหน้าที่
ตามกฎหมายให้ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่ง มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปี
นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
แต่หากผู้มีเงินได้ไม่ประสงค์จะขอคืนภาษี ก็มีสิทธิ์ใช้ภาษีที่หักและนำส่งไว้ในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ
ที่จ่าย เป็นเครดิตภาษีในการคำนวณภาษีเงินได้สำหรับปีภาษีหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่หักไว้นั้น ตาม
มาตรา 3 เตรส ประกอบกับมาตรา 60 แห่งประมวลรัษฎากร